วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552

สรุปย่อเนื้อหา สาระการเรียนรู้ที่ 2 : หน้าที่พลเมือง วัฒน

สรุปย่อเนื้อหา สาระการเรียนรู้ที่ 2 : หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 : สรุปย่อเนื้อหาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง
เรื่องที่ 1 : ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับรัฐ

1. รัฐ (state) คือ ดินแดนที่มีคนมาอาศัยอยู่รวมกัน โดยต้องมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ
1. ประชาชน หรือ ประชากร จำนวนหนึ่ง จะมากหรือน้อยก็ได้ และมีหลายเชื้อชาติได้
2. อาณาเขต ต้องกำหนดให้ชัดเจนแน่นอน ปักปันเขตแดนให้แน่นอน
3. รัฐบาล คือ คณะผู้บริหารปกครองดินแดนนั้น ซึ่งจะมาจากการเลือกตั้ง(ระบอบประชาธิปไตย) หรือ มาจากคณะทหาร(ระบอบเผด็จการทหาร) หรือ มาจากกษัตริย์(ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์) ก็ได้ ขึ้นอยู่กับระบอบการเมืองของรัฐนั้น
4. อำนาจอธิปไตย คือ อำนาจสูงสุดในการปกครองรัฐของตนเอง โดยไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของใคร * อำนาจอธิปไตย ก็คือ เอกราช นั่นเอง *
2. ประเภทของรัฐ แบ่งได้ 2 ประเภท
1. รัฐเดี่ยว : มีรัฐบาลแห่งเดียว
1) ตั้งอยู่ที่เมืองหลวงของประเทศ
2) ไม่มีรัฐบาลประจำอยู่ตามท้องถิ่นหรือตามมลรัฐต่าง ๆ
3) ตัวอย่างประเทศที่เป็นรัฐเดี่ยวเช่น ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส * ประเทศส่วนใหญ่ในโลก จะเป็นรัฐเดี่ยว *
2. รัฐรวม : มีรัฐบาล 2 ระดับ 2 รูปแบบ คือ
1) รัฐบาลกลาง : จะบริหารงานในเรื่องสำคัญ ๆ ของทั้งประเทศ เช่น งานทหาร งานการฑูต งานการคลัง เป็นต้น
2) รัฐบาลท้องถิ่น หรือ รัฐบาลมลรัฐ : จะบริหารงานในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ภายในท้องถิ่น เช่น งานเก็บกวาดขยะรักษาความสะอาดภายในท้องถิ่น งานสาธารณสุข งานอนามัย งานการศึกษา เป็นต้น
3) ตัวอย่างประเทศที่เป็นรัฐรวม เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา มาเลเซีย
เรื่องที่ 2 : ระบอบการเมืองที่สำคัญของโลก
มี 2 ประเภท คือ
1. ระบอบประชาธิปไตย : เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน
1.1 หลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย คือ
1. หลักการอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ถือเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตย
2. หลักการสิทธิเสรีภาพ : ประชาชนต้องมีสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน เช่น
1) สิทธิในชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของตนเอง
2) สิทธิในการรับบริการขั้นพื้นฐานจากรัฐ
3) เสรีภาพในการนับถือศาสนา
4) เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
5) เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ
6) เสรีภาพในการรวมตัวกันเป็นสมาคม สหภาพ สหพันธ์ สหกรณ์ องค์การเอกชน หรือหมู่คณะอื่น
3. หลักการความเสมอภาค โดยเฉพาะเสมอภาคในทางกฎหมาย
4. หลักการยอมรับเสียงข้างมาก แต่ไม่ละเลยเสียงข้างน้อย
5. หลักการเหตุผล คือเน้นใช้เหตุผลและความสงบ
6. หลักการนิติธรรม คือกฎหมายสำคัญที่สุด ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน
1.2 การมีส่วนร่วมของประชาชน : ตามระบอบประชาธิปไตย ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการปกครองได้ โดยประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ 4 วิธี คือ
1) มีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง
2) มีส่วนร่วมในพรรคการเมือง
3) มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
4) มีส่วนร่วมในการจัดตั้งกลุ่มผลประโยชน์
1.3 ประเภทของระบอบประชาธิปไตย แบ่งได้ 3 ประเภท
1. แบบรัฐสภา (แบบอังกฤษ) : ลักษณะเด่นคือ
1) แบบรวมอำนาจ คืออำนาจสูงสุดอยู่ที่ สภา และสภากับรัฐบาลทำงานใกล้ชิดกัน 2) นายกรัฐมนตรีมาจากสภา โดยสภาเป็นผู้เลือก คือ ประชาชนเลือก ส.ส. แล้ว ส.ส. เลือกนายก (ไม่มีการเลือกตั้งตำแหน่งนายกโดยตรง) และนายกเป็นหัวหน้ารัฐบาล ทำหน้าที่บริหารประเทศ
3) การทำงาน : นายกและรัฐบาลบริหารประเทศภายใต้ความไว้วางใจของสภา และสภาควบคุมการทำงาน ของนายกและรัฐบาล เช่น ตรวจสอบรัฐบาลได้ ตั้งกระทู้ถามรัฐบาลได้
4) การถ่วงดุลอำนาจระหว่างสภากับรัฐบาล :
- สภาลงมติไม่ไว้วางใจนายกและรัฐบาล ได้
- นายกยุบสภา ได้ (เฉพาะ ส.ส.)
5) ประเทศที่มีกษัตริย์เป็นประมุขมักใช้ระบอบนี้ เช่น อังกฤษ ไทย ญี่ปุ่น มาเลเซีย กัมพูชา นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม สเปน แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
6) แต่ก็มีบางประเทศที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุขและใช้ระบอบนี้ เช่น สิงคโปร์ อินเดีย เยอรมัน อิตาลี * ข้อสังเกต ประชาธิปไตยแบบนี้ตำแหน่งประมุข (ไม่ว่าจะเป็นพระมหากษัตริย์หรือประธานาธิบดี) จะไม่มีอำนาจบริหารประเทศ จะดำรงตำแหน่งเป็นประมุขของประเทศเพียงอย่างเดียว ผู้มีอำนาจบริหารประเทศคือนายกรัฐมนตรี *
2. แบบประธานาธิบดี (แบบสหรัฐอเมริกา) : ลักษณะเด่นคือ
1) แบบแบ่งแยกอำนาจ คือมีการแบ่งแยกอำนาจหน้าที่อย่างชัดเจนระหว่างสภากับประธานาธิบดี คือ สภาออกกฎหมาย ส่วนประธานาธิบดีบริหารประเทศ
2) ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ทำหน้าที่บริหารประเทศและประธานาธิบดี จะเป็นทั้งประมุขของประเทศ และเป็นหัวหน้ารัฐบาลด้วย
3) การทำงาน : แบ่งแยกอำนาจระหว่างประธานาธิบดีกับสภา คือต่างฝ่ายต่างทำงาน
- ประธานาธิบดีทำหน้าที่บริหาประเทศ
- สภาทำหน้าที่นิติบัญญัติ (ออกกฎหมาย)
4) การถ่วงดุลอำนาจ :
- สภาลงมติไม่ไว้วางใจประธานาธิบดี ไม่ได้
- ประธานาธิบดียุบสภา ไม่ได้
- แต่ก็ถ่วงดุลกันได้บ้างเช่น สภาออกกฎหมายแต่ประธานาธิบดีเป็นผู้ลงนามประกาศใช้กฎหมาย (ดังนั้นประธานาธิบดีจึงมีสิทธิวีโต้กฎหมายได้)
5) ประเทศที่ใช้ระบอบนี้ เช่น USA ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เม็กซิโก
* ข้อสังเกต ประชาธิปไตยแบบนี้จะไม่มีตำแหน่งนายก *
3. แบบกึ่งประธานาธิบดีกึ่งรัฐสภา (แบบฝรั่งเศส) : ลักษณะเด่นคือ
1) แบบผสมกันระหว่างอังกฤษกับUSA
2) มีทั้งประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรี แต่ประธานาธิบดีจะมีอำนาจมากกว่า
3) ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยตรง แต่นายกมาจากการแต่งตั้ง และนายกจะบริหาร ประเทศภายใต้ความไว้วางใจของสภา
4) การทำงาน :ประธานาธิบดีและนายกจะบริหารประเทศร่วมกัน แต่ประธานาธิบดีจะมีอำนาจมากกว่า (นายกจะเป็นเหมือนผู้ช่วยประธานาธิบดี)
5) การถ่วงดุลอำนาจ :
- สภาลงมติไม่ไว้วางใจกับนายกได้ แต่ลงมติกับประธานาธิบดีไม่ได้
- ประธานาธิบดียุบสภา ได้
6) ประเทศที่ใช้ระบอบนี้ เช่น ฝรั่งเศส รัสเซีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน
* ข้อสังเกต ประชาธิปไตยแบบนี้ประธานาธิบดีจะมีอำนาจมากกว่านายก *
2. ระบอบเผด็จการ : การปกครองที่ไม่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม โดยอำนาจรัฐหรือรัฐบาลสำคัญที่สุด (สำคัญกว่าสิทธิเสรีภาพของประชาชนเสียอีก) เผด็จการแบ่งได้ 2 ประเภท ได้แก่
1. เผด็จการอำนาจนิยม : ลักษณะเด่นคือ
1) เน้นควบคุมประชาชนเฉพาะอำนาจทางด้านการเมือง แต่ให้เสรีภาพด้านเศรษฐกิจและด้านสังคมวัฒนธรรม
2) ยอมให้มีการลงทุนได้ ให้มีการเลือกตั้งได้ ให้ตั้งพรรคการเมืองได้ (แต่ไม่เสรี)
3) แต่ห้ามประชาชนประท้วงรัฐบาล และห้ามวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล (ประชาชนต้องเชื่อฟังและปฏิบัติ ตามคำสั่งของรัฐอย่างเคร่งครัด)
4) พบในประเทศเผด็จการทหารทั้งหลาย เช่นประเทศไทยในอดีต เกาหลีใต้ในอดีต หรือ พม่าในปัจจุบัน
2. เผด็จการเบ็ดเสร็จนิยม : เน้นควบคุมประชาชนเบ็ดเสร็จเด็ดขาดทั้ง 3 ด้าน คือ การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม โดยแบ่งย่อยได้อีก 2 ประเภท คือ
1. เผด็จการฟาสซิสต์ : ลักษณะเด่นคือ
1) เน้นผู้นำรัฐที่เป็นคนคนเดียว เช่น
- อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำเยอรมนี
- เบเน็ตโต มุสโสลินี ผู้นำอิตาลี
- ฮิเดกิ โตโจ ผู้นำญี่ปุ่น
- แปลก พิบูลสงคราม ผู้นำไทย
2) บ้าชาตินิยม คลั่งเชื้อชาติ รังเกียจชนชาติอื่น
3) สนับสนุนทุนนิยม คือยอมให้มีนายทุนนักธุรกิจได้
4) ยกย่องอาชีพทหาร
5) ปัจจุบันถือว่าไม่มีแล้ว เคยมีในอดีตสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ในกลุ่มประเทศฝ่ายอักษะ เช่น เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น ไทย
2. เผด็จการคอมมิวนิสต์ : ลักษณะเด่นคือ
1) เน้นพรรคคอมมิวนิสต์ว่าสำคัญที่สุด ไม่เน้นผู้นำรัฐที่เป็นคนคนเดียว
2) ไม่เน้นชาตินิยม
3) ต่อต้านทุนนิยม สนับสนุนแนวคิดสังคมนิยม
4) ยกย่องอาชีพเกษตรกรและกรรมกร
5) พบในประเทศ เช่น จีน เวียดนาม เกาหลีเหนือ คิวบา และประเทศลาว (ระวัง ! ชื่อสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แต่เป็นคอมมิวนิสต์)
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 : สรุปย่อเนื้อหาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมาย
กฎหมาย คือ กฎหรือข้อบังคับของรัฐซึ่งกำหนดความประพฤติของมนุษย์ ถ้าฝ่าฝืนจะได้รับผลร้ายหรือถูกลงโทษ
เรื่องที่ 1 : ลักษณะของกฎหมาย ประกอบด้วย
1. ต้องใช้ได้ทั่วไป กับทุกคนภายในประเทศ (ไม่เว้นแม้แต่ชาวต่างประเทศ เมื่อทำความผิดในประเทศไทย ต้องถูกลงโทษด้วยกฎหมายไทย)
2. ต้องใช้ได้ตลอดไป ตลอดเวลาจนกว่าจะยกเลิก (ตราบใดถ้ายังไม่ได้ยกเลิก จะต้องบังคับใช้ตลอดเวลา)
3. ต้องตราหรือบัญญัติโดยผู้มีอำนาจสูงสุดของประเทศ (รัฏฐาธิปัตย์)
4. ต้องควบคุมการกระทำของมนุษย์ (ไม่รวมการกระทำของสัตว์ ถ้าสัตว์ทำผิดสัตว์ไม่ผิด เจ้าของสัตว์ ต้องรับผิดชอบแทน)
5. ต้องมีสภาพบังคับทางกฎหมาย ในกรณีที่มีคนฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งจะแต่ต่างกัน คือ
1) ทางอาญา สภาพบังคับ คือ โทษ
2) ทางแพ่ง สภาพบังคับ คือ การชดใช้ค่าเสียหาย
เรื่องที่ 2 : ระบบกฎหมายของโลก
แบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ
1. ระบบกฎหมายจารีตประเพณี (Common Laws)
1) ไม่ได้บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
2) แต่จะใช้จารีตประเพณี หรือค่านิยมความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น ร่วมกับใช้คำพิพากษาของศาล ในอดีตเป็นกฎหมาย
3) ใช้ในประเทศ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
2. ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร (Civil Laws) หรือระบบประมวลกฎหมาย
1) ต้องบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และมักมีการจัดทำ “ประมวลกฎหมาย” ขึ้นมาใช้ภายในประเทศ
2) ไม่ใช้จารีตประเพณี เป็นกฎหมาย
3) ใช้จารีตประเพณีบ้างเล็กน้อยในบางกรณี เช่น ใช้ในเกมส์กีฬาบางประเภท (ต่อยมวยบนเวทีมวยไม่ผิด แต่ต่อยนอกเวทีมวยเป็นความผิด)
4) ใช้ในประเทศ จักรวรรดิโรมันโบราณ ฝรั่งเศส เยอรมนี ไทย
เรื่องที่ 3 : ประเภทของกฎหมาย
1.1 กฎหมายที่ต้องผ่านความเห็นชอบด้วยการลงประชามติ มีประเภทเดียว คือ รัฐธรรมนูญ
1.2 กฎหมายที่ตราโดยฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) เช่น พระราชบัญญัติ(+ประมวลกฎหมาย)
1.3 กฎหมายที่ตราโดยฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) เช่น พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง
1.4 กฎหมายที่ตราโดยฝ่ายปกครองท้องถิ่น เช่น ข้อบัญญัติ กทม. ข้อบัญญัติเมืองพัทยา ข้อบัญญัติ อบจ. ข้อบัญญัติ อบต. และเทศบัญญัติ
1.5 กฎหมายมหาชน : รัฐกับเอกชน เช่น รัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง กฎหมายอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและพาณิชย์
1.6 กฎหมายเอกชน : เอกชนกับเอกชน เช่น กฎหมายครอบครัว กฎหมายมรดก กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
1.7 กฎหมายระหว่างประเทศ : รัฐต่อรัฐ เช่น สนธิสัญญาทางการฑูต สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
เรื่องที่ 4 : กระบวนการยุติธรรมด้านคดีอาญา ประกอบด้วย
1. คู่กรณี 2 ฝ่าย : โจทก์ - จำเลย
2. พนักงานปกครอง : ปราบปราม จับผู้กระทำความผิด ได้แก่ ตำรวจ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
3. พนักงานสอบสวน : สอบสวนหาพยานหลักฐาน ได้แก่ ตำรวจ
4. พนักงานอัยการ : เป็นทนายความของฝ่ายผู้เสียหายหรือโจทก์(ฝ่ายรัฐ) * ทนายความของแผ่นดิน *
5. ทนายความจำเลย
6. ศาลสถิตยุติธรรม มี 3 ระดับ คือ 1. ศาลชั้นต้น 2. ศาลอุทธรณ์ 3. ศาลฎีกา
7. พนักงานราชทัณฑ์
8. พนักงานคุมประพฤติ * กรณีรอลงอาญา *
เรื่องที่ 5 : กระบวนการยุติธรรมด้านคดีแพ่ง ประกอบด้วย
1. คู่กรณี 2 ฝ่าย : โจทก์ - จำเลย
2. ทนายความของทั้ง 2 ฝ่าย * ต้องจัดหากันมาเอง * และพนักงานอัยการ ในกรณีรัฐถูกฟ้องคดีแพ่ง
3. ศาลแพ่ง
4. พนักงานบังคับคดี

6 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ19 กันยายน 2552 เวลา 03:37

    ขอบคุณมากคร๊าบบบบบบบบบบบบบ.........

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ9 ธันวาคม 2552 เวลา 01:45

    ดีจังเลยค่ะ ขอบคุณคร้า

    ตอบลบ
  3. เพิ่มความหยักในสมองขึ้นเยอะเลยคะ

    ตอบลบ
  4. ขอบคุณนะคะ

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ25 ธันวาคม 2554 เวลา 04:22

    ขอบคุณมากค่ะ.......

    ตอบลบ
  6. ขอบคุณมากเลยค่ะ ^^!

    ตอบลบ

ผู้ติดตาม