สรุปย่อเนื้อหา สาระการเรียนรู้ที่ 3 : เศรษฐศาสตร์
1. เศรษฐศาสตร์ คือ วิชาที่ว่าด้วยการจัดสรรทรัพยากร เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากร เพราะทรัพยากรมีจำกัด
2. เศรษฐศาสตร์ แบ่งออกเป็น 2 สาขา
1. เศรษฐศาสตร์จุลภาค หรือ เศรษฐศาสตร์ภาคทฤษฎีกลไกราคา (Micro economics) เน้นศึกษากิจกรรม ทางเศรษฐกิจในหน่วยเล็กหรือหน่วยย่อย
2. เศรษฐศาตร์มหภาค หรือ เศรษฐศาสตร์ภาคทฤษฎีรายได้ประชาชาติ (Macro economics) เน้นศึกษา กิจกรรมทางเศรษฐกิจในหน่วยใหญ่ ระดับประเทศหรือระดับโลก
3. ระบอบเศรษฐกิจ ที่สำคัญของโลกมี 3 ระบอบ คือ
3.1 ระบอบทุนนิยม แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
3.1.1 ทุนนิยมแบบบังคับ : หลักการสำคัญคือ
1. รัฐบาลให้เอกชนสะสมทุนได้ มีนายทุนได้
2. เอกชนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตได้
3. แต่รัฐบาลจะบังคับเอกชนในการผลิตสินค้าบางชนิด
4. มักพบในประเทศเผด็จการทหาร เช่น ฟาสซิสต์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 , เผด็จการทหารในพม่า หรือไทยยุคเผด็จการทหารในอดีต
3.1.2 ทุนนิยมแบบเสรี : หลักการสำคัญคือ
1. รัฐบาลให้เอกชนสะสมทุนและค้าขายแข่งขันได้อย่างเสรี
2. เอกชนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตได้
3. รัฐบาลเข้าแทรกแซงน้อยที่สุด
4. ใช้กลไกราคามาก
5. พบในประเทศ เช่น USA อังกฤษ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย แคนาดา
3.2 ระบอบสังคมนิยม : หลักการสำคัญ
1. เน้นสังคมหรือประชาชน ให้อยู่ดีกินดี
2. รัฐบาลเข้าแทรกแซงมาก
3. รัฐบาลเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต
4. เน้นการกระจายรายได้ให้เป็นธรรม
5. พบในประเทศคอมมิวนิสต์ทั้งหลาย
3.3 ระบอบเศรษฐกิจแบบผสม : หลักการสำคัญ
1. รัฐบาลให้เอกชนสะสมทุนและค้าขายแข่งขันได้
2. รัฐบาลจะลงทุนทำกิจการขนาดใหญ่ (กิจการสาธาณูปโภค) แทนเอกชน * มีรัฐวิสาหกิจ *
3. รัฐบาลเก็บภาษีสูงและจัดสวัสดิการให้ประชาชน
4. เน้นการกระจายรายได้ให้เป็นธรรม
5. พบในประเทศยุโรปกลุ่มสแกนดิเนเวีย (นอร์เวย์ ฟินแลนด์ สวีเดน)
4. กิจกรรมทางเศรษฐกิจ มี 4 ประเภท
4.1 การผลิต คือ การนำปัจจัยการผลิตมาผ่านกระบวนการผลิตจนได้เป็นตัวสินค้าและบริการ
- ปัจจัยการผลิต มี 4 ประเภท คือ 1.ที่ดิน 2.แรงงาน 3.ทุน 4.ผู้ประกอบการ(หรือการประกอบการ)
4.2 การบริโภค คือ การกินหรือใช้สินค้า - บริการที่ได้จากการผลิต
4.3 การแลกเปลี่ยน คือ การนำสินค้า - บริการชนิดหนึ่งมาแลกเปลี่ยนกับอีกชนิดหนึ่ง
4.4 การกระจายหรือการแบ่งสรร มี 2 ประเภท คือ
1. การกระจายรายได้คืนสู่เจ้าของปัจจัยการผลิต 2. การกระจายสินค้า-บริการจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภค
5. กลไกราคา (ทฤษฎีอุปสงค์ - อุปทาน , กลไกตลาด )
- อุปสงค์ Demand คือ ความต้องการซื้อสินค้า - บริการ (รวมถึงจำนวนผู้ซื้อด้วย)
- อุปทาน Supply คือ ความต้องการขายสินค้า - บริการ (รวมถึงจำนวนผู้ขาย จำนวนสินค้า)
5.1 กฎอุปสงค์ : ราคาสินค้ากำหนดอุปสงค์
1.เมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้น อุปสงค์จะลดลง
2.เมื่อราคาสินค้าลดลง อุปสงค์จะเพิ่มขึ้น
5.2 กฎอุปทาน : ราคาสินค้ากำหนดอุปทาน
1.เมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้น อุปทานจะเพิ่มขึ้น
2.เมื่อราคาสินค้าลดลง อุปทานจะลดลง
5.3 ดุลยภาพ : สภาพที่อุปสงค์เท่ากับอุปทาน
- ราคาดุลยภาพ : ราคาสินค้าที่สมดุล
- ปริมาณดุลยภาพ : ปริมาณสินค้าที่สมดุล
6. การใช้นโยบายการเงินการคลังเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อและเงินฝืด
6.1 การแก้ปัญหาเงินเฟ้อ
6.1.1 ลดปริมาณเงินในมือประชาชน
6.1.2 ลดรายจ่ายของรัฐบาล
6.1.3 ส่งเสริมการออม เพื่อลดการลงทุน
6.1.4 นโยบายการเงินแบบหดตัว เช่น เพิ่มดอกเบี้ย , ลดการปล่อยสินเชื่อ
6.1.5 นโยบายการคลังแบบหดตัว เช่น เพิ่มภาษี , รัฐบาลจัดทำงบประมาณแผ่นดินแบบเกินดุล , รัฐบาลลดการใช้จ่าย , รัฐบาลออกขายพันธบัตร
6.2 การแก้ปัญหาเงินฝืด
6.2.1 เพิ่มปริมาณเงินในมือประชาชน
6.2.3 เพิ่มรายจ่ายของรัฐบาล
6.2.3 ส่งเสริมการลงทุน ลดการออม
6.2.4 นโยบายการเงินแบบขยายตัว เช่น ลดดอกเบี้ย , เพิ่มการปล่อยสินเชื่อ
6.2.5 นโยบายการคลังแบบขยายตัว เช่น ลดภาษี , รัฐบาลจัดทำงบประมาณแผ่นดินแบบขาดดุล , รัฐบาลเพิ่มการใช้จ่าย , รัฐบาลรับซื้อคืนพันธบัตร
7. การวัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ : เครื่องมือที่ใช้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ คือ การคำนวณหาตัวเลข GDP และ GNP
1.GDP : ตัวเลขของมูลค่าสินค้า-บริการขั้นสุดท้าย ที่ผลิตขึ้นภายในประเทศในรอบ 1 ปี
2.GNP : ตัวเลขของมูลค่าสินค้า-บริการขั้นสุดท้าย ที่ผลิตขึ้นโดยใช้ทรัพยากร (หรือคน) ของประเทศในรอบ 1 ปี
* จำง่ายๆ GDP ( D คือ domestic ) เน้น อาณาเขตประเทศ GNP ( N คือ national ) เน้น คน หรือ เชื้อชาติ *
8. ดุลการชำระเงินระหว่างประเทศ คือ ตัวเลขที่แสดงฐานะทางการเงินของประเทศในรอบ 1 ปี โดยดูได้จาก 3 บัญชีสำคัญ คือ
1.บัญชีเดินสะพัด ประกอบด้วย 3 บัญชีย่อย คือ
1. บัญชีการค้า : บัญชีที่แสดงรายการสินค้าส่งออกหักลบกับสินค้านำเข้า
2. บัญชีบริการ : บัญชีที่แสดงรายการบริการส่งออกหักลบกับบริการนำเข้า
3. บัญชีบริจาคหรือบัญชีเงินโอน : บัญชีที่แสดงรายการเงินบริจาคที่โอนเข้าประเทศหักลบกับที่โอนออกจากประเทศ
2.บัญชีทุนเคลื่อนย้าย : บัญชีที่แสดงรายการทุนไหลเข้าประเทศหักลบกับทุนไหลออกจากประเทศ
3.บัญชีทุนสำรองระหว่างประเทศ : บัญชีที่แสดงดุลการชำเงินระหว่างประเทศทั้งหมด
9. การเปลี่ยนแปลงอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ มีผลดังนี้
9.1 เพิ่มค่าเงินบาท (เงินบาทแข็งค่าขึ้น) ผลคือ ส่งออกลดลง , นำเข้าเพิ่มขึ้น , หนี้ต่างประเทศลดลง , ปริมาณการท่องเที่ยวจากต่างประเทศลดลง
9.2 ลดค่าเงินบาท (เงินบาทอ่อนค่าลง) ผลคือ ส่งออกเพิ่มขึ้น , นำเข้าลดลง , หนี้ต่างประเทศเพิ่มขึ้น , ปริมาณการท่องเที่ยวจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น
วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น