ajarn_juang

วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2552

ข้อคิดคำคม รวบรวมโดย อ.จวง

1.บ้านใดที่มีหนังสือ
บ้านนั้นก็คือบ้านป่า
ถ้าแม้นหนังสือนานา
สอนให้ประชามืดมน
ถอยหลังเข้าคลองข้องอยู่
ในเล่ห์ของผู้หวังผล
ขูดรีดหลอกลวงปวงชน
ย่อยยับอับจนนิรันดร์
หนังสือคือกองขยะ
หากมุ่งสาระเช่นนั้น
บ้านใดมีไว้อนันต์
ควรนับบ้านนั้นป่าดง
แม้เปรียบด้วยบานหน้าต่าง
เพียงเพื่ออำพรางให้หลง
เปิดเห็นทุ่งนาป่าพง
หาทางออกตรงไม่มี
สูรย์จันทร์นั้นสาดส่องหล้า
ห่อนเลือกเคหาเศรษฐี
หนังสือที่จัดว่าดี
ประโยชน์มากมีทั่วไป
คือสอนให้คนรู้หลัก
สัจจะประจักษ์แค่ไหน
สังคมบ่มร้ายเช่นไร
เปิดเผยแก้ไขเปลี่ยนแปลง
เช่นการรีดนาทาเน้น
ชี้ปมลับเร้นแอบแฝง
แลเล่ห์มารยาพลิกแพลง
เป็นการช่วยแรงปวงชน
หนังสือคือบานหน้าต่าง
ยามเปิดสว่างให้ผล
ทำลายความมืดหมองมน
เพื่อประชาชนภิญโญ .
ประพันธ์โดย แหลม ตะลุมพุก (ผ่อง พันธุโรทัย)

2.มีก็เหมือนไม่มีประวัติศาสตร์
พลิกหน้าไหนก็ผิดพลาดเสียทั้งนั้น
เฉพาะตอนต้องกำหนดบทสำคัญ
ดำเป็นขาว ขาวพลันเป็นดำไป
ไม่รู้ใครต่อสู้กอบกู้ชาติ
ไม่รู้ใครขายเอกราชอันยิ่งใหญ่
ไม่รู้ใครรักประชาธิปไตย
ใครทำลายถวายให้เผด็จการ
มากอนุสาวรีย์ มีให้เห็น
ก็ชื่นชมเช้าเย็นเวลาผ่าน
แต่พิเคราะห์เงื่อนงำแห่งตำนาน
กลับต้องถอนใจสะท้านทุกทีไป
ประเทศไทยในรอบหนึ่งร้อยปี
นานครั้งบังเกิดมีแผ่นดินไหว
ชะรอยแตกแยกขยับรับศพใคร
รับศพรัฐบุรุษไทยผู้เที่ยงธรรม .
แด่……รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ประพันธ์โดย วิสา คัญทัพ

3.ในโลกล้วนสัจธรรมเป็นอมตะ
แต่อาจจะนานนักหนาจึงปรากฏ
เมื่อคนไทยเข้าใจว่าใครคด
ความจริงอันงามงดจึงทดทวี
เมื่อความดีทุกอย่างยังคงอยู่
ประชาชนย่อมรู้ว่าที่นี่
มหาวีรบุรุษจักต้องมี
เมื่อนั้นท่านปรีดีจะกลับมา .
แด่รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ประพันธ์โดย เฉินซัน

4.พ่อนำชาติด้วยสมองและสองแขน
พ่อสร้างแคว้นธรรมศาสตร์ประกาศศรี
พ่อของข้านามระบือชื่อปรีดี
แต่คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ
แด่……รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ประพันธ์โดย พรรคแสงธรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

5.ดร. ใดในโลกล้วน มากมาย
ปรีดี มีที่เทียมกราย ยากแท้
พนม มือเคารพไม่คลาย ท่านผู้ นี้นา
ยงค์ ยกองค์เลิศแล้ นอกนั้น มิเทียม
ประพันธ์โดย ภาสกร มหุติฤกษ์

6.ท่านคือเมล็ดข้าวของแผ่นดิน
จากท้องนาสู่ธานินไม่สิ้นสมัย
คือความงอกงามอำไพ
เลือดเนื้อเชื้อไขของชาวนา
แด่……รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ประพันธ์โดย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

7.คือวิญญาณเสรี
ชื่อ "ปรีดี พนมยงค์"
คือดาวที่ดำรง
อยู่คู่ฟ้าสถาวร .
ประพันธ์โดย เฉินซัน

8.เหลืองของเราคือธรรมประจำจิต
แดงของเราคือโลหิตอันเข้มข้น
ไทยเอ๋ยไทยถ้าประชาชน
เหมือนท่านปรีดีหลายหลายคนไทยไม่พัง
ประพันธ์โดย เปลื้อง วรรณศรี

9.เพื่อลบรอยคราบน้ำตาประชาราษฎร์
สักพันชาติจักสู้ม้วยด้วยหฤหรรษ์
แม้นชีพใหม่มีเหมือนหวังอีกครั้งครัน
จักน้อมพลีชีพนั้นเพื่อมวลชน .
ประพันธ์โดย จิตร ภูมิศักดิ์

วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552

สรุปย่อเนื้อหา สาระการเรียนรู้ที่ 5 : ภูมิศาสตร์

สรุปย่อเนื้อหา สาระการเรียนรู้ที่ 5 : ภูมิศาสตร์
1. ประเทศไทยประกอบด้วย 6 ภาค : เหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ กลาง ใต้ ตะวันตก ตะวันออก
2. ภูมิอากาศในไทยตามเกณฑ์ของเคิปเปิน เป็นแบบ A : ร้อนชื้น โดยแบ่งย่อยได้อีก 2 ประเภท คือ
1.Aw : ภูมิอากาศแบบทุ่งหญ้าสะวันนา ลักษณะเด่นคือ
1. ฝนตกน้อย ฤดูแล้งยาวนาน
2. ป่าไม้เป็นป่าไม้ผลัดใบ ป่าโปร่ง ไม่รกทึบ มีทุ่งหญ้าสลับ เช่น ป่าเบญจพรรณ ป่าแดง
3. พบเกือบทุกภาคในไทย ยกเว้นภาคใต้
2.Am : ภูมิอากาศแบบมรสุมเมืองร้อน ลักษณะเด่นคือ
1. ฝนตกชุก ฤดูแล้งสั้นๆ
2. ป่าไม้เป็นแบบป่าไม้ไม่ผลัดใบ ป่ารกทึบ ต้นไม้เขียวครึ้มตลอดปี เช่น ป่าดิบชื้น ป่าดิบเขา
3. พบที่ภาคใต้และภาคตะวันออกที่ จ.จันทบุรีและจ.ตราด
3. ลมพายุที่สำคัญในประเทศไทย
3.1 ลมมรสุม (ลมประจำฤดู) ที่สำคัญ มี 2 ประเภท
1.ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (ลมฝน) ทำให้เกิดฤดูฝนในไทย ทุกภาคจะมีฝนตก
2.ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ (ลมหนาว) ทำให้เกิดฤดูหนาวในไทย เกือบทุกภาคจะมีอากาศ
แห้งแล้งหนาวเย็น ยกเว้นภาคใต้ฝั่งตะวันออก (ฝั่งอ่าวไทย) จะมีฝนตก
3.2 ลมพายุหมุนทะเลจีนใต้ ที่สำคัญ มี 3 ประเภท
1.พายุไต้ฝุ่น
2.พายุโซนร้อน
3.พายุดีเปรสชั่น
4. ภูมิศาสตร์โดยสรุปของ 6 ภาค
1. ภาคเหนือ
1. ภูมิประเทศที่โดดเด่นคือ เป็นเขตเทือกเขาสูง และมีที่ราบสลับหุบเขา
2. อากาศเป็นแบบ Aw ทุ่งหญ้าสะวันนา ฤดูแล้งยาวนาน
3. ป่าเบญจพรรณเป็นป่าไม้สำคัญในภาคนี้
4. แร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ เช่น: ดีบุก ทังสเตน ลิกไนต์(ลำปาง ลำพูน) ดินเกาลิน น้ำมันปิโตรเลียม
5. แม่น้ำสำคัญ : ปิง วัง ยม น่าน
2. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน)
1. เป็นแอ่งที่ราบผืนใหญ่ มีเทือกเขาสูงล้อมรอบ
2. อากาศเป็นแบบ Aw ทุ่งหญ้าสะวันนา
3. ป่าแดงหรือป่าโคก เป็นป่าไม้สำคัญ
4. แร่ธาตุมีน้อย เช่น แร่เกลือหิน (เกลือสินเธาว์) เกลือโพแทส ทองแดง เหล็ก น้ำมันและก๊าซ
5. แม่น้ำสำคัญ : ชี มูล สงคราม
3. ภาคกลาง
1. เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำผืนใหญ่อันอุดมสมบูรณ์
2. อากาศเป็นแบบ Aw ทุ่งหญ้าสะวันนา
3. พบป่าเบญจพรรณอยู่บ้างในเขตภาคกลางตอนบน
4. เป็นภาคที่มีแร่ธาตุน้อยที่สุดใน 6 ภาค พบบ้างเล็กน้อย เช่น แร่ยิปซั่ม (พิจิตร) น้ำมันและก๊าซ (กำแพงเพชร) ดินมาร์ล (ลพบุรี)
5. แม่น้ำสำคัญ : เจ้าพระยา ท่าจีน ป่าสัก ลพบุรี
4. ภาคใต้
1. มีเทือกเขากั้นกลางภาคและแบ่งที่ราบในภาคใต้ออกเป็น ที่ราบชายฝั่งทะเลฝั่งตะวันออก
และที่ราบชายฝั่งทะเลตะวันตก
2. อากาศเป็นแบบ Am มรสุมเมืองร้อน ฝนตกชุก ฤดูแล้งสั้นๆ
3. ป่าไม้เป็นแบบป่าไม้ไม่ผลัดใบ ป่ารกทึบ ต้นไม้เขียวครึ้มทั้งปี
4. แร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ เช่น ดีบุก ทังสเตน ลิกไนต์ (กระบี่ สงขลา) ยิปซั่ม น้ำมันและก๊าซ (อ่าวไทย)
5. แม่น้ำเป็นแม่น้ำสายเล็กและสั้น น้ำไหลลงทะเลอย่างรวดเร็ว (คล้ายภาคตะวันออก) เช่น ตาปี ชุมพร กระบุรี โกลก ปัตตานี
5. ภาคตะวันออก
1. มีเทือกเขาจันทบุรีและเทือกเขาบรรทัด กั้นแบ่งที่ราบออกเป็น 2 ส่วน คือ ที่ราบฉนวนไทย (ที่ราบลุ่ม แม่น้ำบางปะกง) และที่ราบชายฝั่งทะเล
2. อากาศมี 2 แบบในภาคเดียวกัน คือ
1. Am มรสุมเมืองร้อน พบที่ จ.จันทบุรีและ จ.ตราด
2. Aw ทุ่งหญ้าสะวันนา พบในจังหวัดที่เหลือ เช่น ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง ปราจีนบุรี สระแก้ว
3. ป่าไม้มีทั้งป่าไม้ผลัดใบและป่าไม้ไม่ผลัดใบ
4. แร่ธาตุสำคัญ เช่น แร่รัตนชาติ (พลอย) แมงกานีส แร่ทรายแก้ว น้ำมันและก๊าซ (อ่าวไทย)
5. แม่น้ำเป็นแม่น้ำสายเล็กและสั้น น้ำไหลลงทะเลอย่างรวดเร็ว (คล้ายภาคใต้) เช่น บางปะกง จันทบุรี เวฬุ
6. ภาคตะวันตก
1. เป็นเขตเทือกเขาสูงและมีที่ราบสลับหุบเขา (คล้ายภาคเหนือ)
2. อากาศเป็นแบบ Aw ทุ่งหญ้าสะวันนา
* เป็นภาคที่มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่ำที่สุด *
3. ป่าเบญจพรรณเป็นป่าไม้สำคัญ มีมากเป็นอันดับ 2 รองมาจากภาคเหนือ
4. แร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ เช่น ดีบุก ทังสเตน ฟอสเฟต ทองคำ รัตนชาติ (พลอย)
5. แม่น้ำสำคัญ : แควใหญ่ แควน้อย แม่กลอง

สรุปย่อเนื้อหา สาระการเรียนรู้ที่ 4 : ประวัติศาสตร์

สรุปย่อเนื้อหาสาระการเรียนรู้ที่ 4 : ประวัติศาสตร์
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 : การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์และวิธีการทางประวัติศาสตร์


1. ยุคก่อนประวัติศาสตร์ คือ ยุคสมัยที่ยังไม่มีตัวอักษร โดยแบ่งได้อีกเป็น 2 ยุค คือ
1.1 ยุคหิน คือ ยุคที่เครื่องมือเครื่องใช้ มีด ขวาน ของมนุษย์ทำด้วยหิน
และยุคหินยังสามารถแบ่งย่อยได้อีก 3 ยุคย่อยคือ
1) ยุคหินเก่า
2) ยุคหินกลาง
3) ยุคหินใหม่

1.2 ยุคโลหะ คือ ยุคที่เครื่องมือเครื่องใช้ มีด ขวาน ของมนุษย์ทำด้วยโลหะ และยุคโลหะยังสามารถ แบ่งย่อยได้อีก 3 ยุคย่อย คือ
1) ยุคทองแดง
2) ยุคสำริด (เป็นโลหะผสมระหว่างทองแดงกับดีบุก)
3) ยุคเหล็ก

2.ยุคประวัติศาสตร์ คือ ยุคที่มนุษย์รู้จักประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นมาใช้

3. วิธีการทางประวัติศาสตร์ คือ วิธีการค้นหาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เพื่อให้ได้ข้อมูล
ทางประวัติศาสตร์ที่ใกล้เคียงความจริงที่สุด
โดยมีขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์อยู่ 6 ขั้นตอน คือ
1) กำหนดหัวข้อ
2) รวบรวมหลักฐานทางประวัติศาสตร์
3) ประเมินคุณค่าหลักฐาน ว่าหลักฐานนั้นจริงหรือปลอม
4) ตีความหลักฐาน
5) วิเคราะห์หลักฐาน ว่าหลักฐานนั้นบอกอะไรแก่เรา ให้ข้อมูลอะไรแก่เรา
6) สังเคราะห์และสรุป

4. ประเภทของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
4.1 หลักฐานชั้นต้น หรือหลักฐานปฐมภูมิ คือ หลักฐานที่
- ผู้บันทึกหรือผู้เขียนหลักฐานนั้น เกิดทันเหตุการณ์ เกิดร่วมยุคสมัยกับเหตุการณ์ที่ได้บันทึกไว้นั้น
- เช่น พงศาวดาร , จารึกต่าง ๆ , จดหมายเหตุ , บันทึกประจำวันหรือDiary ของชาวต่างชาติ ,
หนังสือพิมพ์ เป็นต้น
4.2 หลักฐานชั้นรอง หรือหลักฐานทุติยภูมิ คือ หลักฐานที่
- ผู้บันทึกหรือผู้เขียนหลักฐานนั้น เกิดไม่ทันเหตุการณ์ เกิดภายหลังเหตุการณ์นั้น และได้เขียน
หลักฐานนั้น ขึ้นมาจากหลักฐานปฐมภูมิอีกที
- เช่น ตำราหรือหนังสือทางประวัติศาสตร์ทั้งหลาย
***********************************************
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 : ประวัติศาสตร์ไทย
เรื่องที่ 1 : ประวัติศาสตร์ไทยด้านสังคมวัฒนธรรม


1. สังคมไทยเป็นสังคมในระบบศักดินา คือมีการแบ่งชนชั้น โดยใช้ศักดินาเป็นตัวบอกชนชั้น
แบ่งเป็น 2 ชนชั้น สำคัญ คือ
1.1 ชนชั้นปกครอง หรือ ชนชั้นเจ้าขุนมูลนาย ประกอบด้วย
1. กษัตริย์ : เป็น “เจ้าแผ่นดิน“ มีศักดินาสูงสุด ไม่จำกัดจำนวนไร่
2. เจ้านาย หรือ พระบรมวงศานุวงศ์ : ถือศักดินา 500 - 100,000 ไร่ และยังแบ่งย่อยได้อีก 3 อิสริยยศ
คือ เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า หม่อมเจ้า
3. ขุนนาง : ถือศักดินา 400 - 10,000 ไร่ และยังแบ่งย่อยได้อีก 5 ยศ (หรือ 5 บรรดาศักดิ์)
คือ เจ้าพระยา พระยา พระ หลวง ขุน
4. พระสงฆ์ : เสมอนา 100 - 2,400 ไร่

1.2 ชนชั้นใต้ปกครอง ประกอบด้วย
1. ไพร่ : ถือศักดินา 10 - 25 ไร่ และยังแบ่งย่อยได้อีก 3 ประเภท คือ ไพร่หลวง ไพร่สม ไพร่ส่วย
2. ทาส : ถือศักดินา 5 ไร่ และยังแบ่งย่อยได้อีก เช่น ทาสสินไถ่ ทาสเชลยศึกสงคราม ลูกทาส

2. ระบบมูลนาย-ไพร่ : เป็นการจัดระเบียบสังคมในสมัยโบราณ
1. มูลนาย คือ ชนชั้นปกครอง (ที่สำคัญคือกลุ่มเจ้านายและกลุ่มขุนนาง)
- มูลนายมีหน้าที่ควบคุมดูแลไพร่ในสังกัด และใช้ประโยชน์จากแรงงานไพร่ในสังกัดได้
- มูลนายและลูกหลานมีอภิสิทธิ์ไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน
2. ไพร่ คือ ราษฎรทั่วไปทั้งชายหญิง เป็นชนชั้นที่มีความสำคัญที่สุด เพราะมีปริมาณมากที่สุดในบรรดา ชนชั้นทั้งหลาย
- ไพร่ต้องมีมูลนายสังกัด
- ไพร่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน (หรือเข้าเวรรับราชการ) เพื่อทำงานรับใช้มูลนายต้นสังกัด
- ไพร่ที่ไม่มีมูลนายสังกัดจะไม่ได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย
* ระบบมูลนาย-ไพร่ ทำให้เกิดระบบอุปถัมภ์ตามมา *

3. สังคมไทยสมัยใหม่
3.1 หลัง ร.๔ ทำสัญญาบาวริง มีการเปลี่ยนทางสังคมวัฒนธรรม หลายประการ เช่น
1. ให้ราษฎรเข้าเฝ้าในเวลาเสด็จพระราชดำเนินและถวายฎีกาได้
2. ให้ชาวต่างประเทศยืนเข้าเฝ้าได้และให้ขุนนางไทยสวมเสื้อเข้าเฝ้า
3. ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา
4. ให้สิทธิสตรีในการเลือกคู่ครอง
5. ให้สิทธิสตรีและเด็กในการขายตนเองเป็นทาส

3.2 การปฏิรูปสังคมวัฒนธรรมสมัย ร.๕
1. ร.๕ ทรงยกเลิกระบบมูลนาย - ไพร่ คือยกเลิกการเกณฑ์แรงงานจากไพร่ เปลี่ยนไพร่ให้กลายเป็น
เสรีชน (ชาวนา ชาวไร่ กรรมกร) ทำให้เกิดเสรีภาพในการประกอบอาชีพและในการเคลื่อนย้ายที่อยู่
ของไพร่ขึ้นเป็นครั้งแรก
* นับเป็นพระราชกรณีกิจที่สำคัญที่สุดของ ร.๕ *
2. เลิกทาส เปลี่ยนทาสให้กลายเป็นไพร่
3. ปฏิรูปการศึกษา โดยตั้งโรงเรียนในแบบตะวันตกขึ้นมา เช่น โรงเรียนหลวงสอนภาษาไทย ,
โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ , โรงเรียนแผนที่ , โรงเรียนนายร้อยทหารบก , โรงเรียนกฎหมาย ,
โรงเรียนมหาดเล็ก และ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม (โรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรแห่งแรก)
การปฏิรูปการศึกษาในสมัย ร.5 มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อ ผลิตข้าราชการรุ่นใหม่ ที่มีความรู้สมัยใหม่
เข้ามารับราชการทำงานพัฒนาบ้านเมือง
4. เปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมประเพณี เช่น ยกเลิกประเพณีหมอบคลานให้ยืนเข้าเฝ้าแทนปรับปรุง
การแต่งกายตามแบบตะวันตก

3.3 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕
1. ราษฎรเกิดความเสมอภาคเท่าเทียมกัน
2. เกิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
3. การศึกษาขยายตัวอย่างกว้างขวาง กำเนิดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ มหิดล ศิลปากร เชียงใหม่
ขอนแก่น สงขลานครินทร์
4. เกิดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

เรื่องที่ 2 : ประวัติศาสตร์ไทยด้านการเมืองการปกครอง
1. รูปแบบการเมืองการปกครองของไทย แต่โบราณเป็นระบอบราชาธิปไตยหรือสมบูรณาญาสิทธิราชย์
2. สมัยอาณาจักรสุโขทัย : ราชาธิปไตย ฐานะกษัตริย์จะแตกต่างกัน 2 ระยะ
2.1 ระยะแรกเป็น ปิตุลาธิปไตย (พ่อปกครองลูก) กษัตริย์มีฐานะเป็น “พ่อขุน” เช่น พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
พ่อขุนรามคำแหง
2.2 ระยะหลังเป็น ธรรมราชา กษัตริย์มีฐานะเป็น “มหาธรรมราชา หรือ พญา” เช่น
พระมหาธรรมราชาที่ 1 (พญาลิไท)

3. อาณาจักรอยุธยา : ราชาธิปไตย ฐานะกษัตริย์เป็นเทวราชา+ธรรมราชา
(แต่เป็นเทวราชามากกว่า)
4. การปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่สมัยพระบรมไตรโลกนาถ
4.1 ส่วนกลาง (ราชธานี)
- แบ่งเป็น 2 ฝ่ายคือ
1.ฝ่ายทหาร มี “สมุหกลาโหม” เป็นอัครมหาเสนาบดี บังคับบัญชากรมทางด้านทหาร เช่น
กรมกลาโหม , กรมช้าง , กรมม้า , กรมทหารอาสา , กรมพระสุรัสวดี
2.ฝ่ายพลเรือน (+จตุสดมภ์) มี “สมุหนายก” เป็นอัครมหาเสนาบดี บังคับบัญชากรมทางด้านพลเรือน เช่น กรมมหาดไทย ,
กรมเวียง (นคราภิบาล) , กรมวัง (ธรรมาธิกรณ์) ,
กรมคลัง (โกษาธิบดี) , กรมนา (เกษตราธิการ)
4.2 ส่วนภูมิภาค
1.ยกเลิกเมืองลูกหลวง เปลี่ยนเป็นหัวเมืองชั้นใน หรือ เมืองจัตวา มีขุนนางในตำแหน่ง “ผู้รั้ง”
เป็นเจ้าเมือง
2.หัวเมืองชั้นนอก หรือ เมืองพระยามหานคร มีเจ้านายหรือขุนนางเป็นเจ้าเมือง และแบ่งออก
เป็น 3 หัวเมืองชั้นนอก คือ เมือง เอก โท ตรี
3.หัวเมืองประเทศราช หรือ เมืองขึ้น หรือ เมืองออก โดยมีกษัตริย์ท้องถิ่นปกครองกันเอง
เพียงแต่ส่งเครื่องราชบรรณาการและส่วย มาถวายแด่ราชธานี
* ผลการปฏิรูปของพระบรมไตรโลกนาถ : เกิดการรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง *

5. สมัยพระเพทราชา ปรับปรุงใหม่
5.1 ให้สมุหกลาโหมดูแลหัวเมืองฝ่ายใต้
5.2 ให้สมุหนายกดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือ+อีสาน

6. อาณาจักรรัตนโกสินทร์ : ราชาธิปไตย ฐานะกษัตริย์เป็นธรรมราชา + เทวราชา (แต่เป็นธรรมราชา มากกว่า)
6.1 สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (ร.๑ – ร.๔) มีตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี 3 ตำแหน่ง
1. สมุหกลาโหมดูแลหัวเมืองฝ่ายใต้
2. สมุหนายกดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือ + อีสาน
3. เสนาบดีกรมคลัง (หรือกรมท่า) ดูแลหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก

6.2 การปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่สมัย ร.๕
1. ส่วนกลาง
1. ยกเลิกการบริหารราชการแบบกรม (ยกเลิกตำแหน่งสมุหกลาโหม สมุหนายก
และเสนาบดีจตุสดมภ์ เวียง วัง คลัง นา)
2. ตั้ง กระทรวง (เริ่มแรกมี 12 กระทรวง)
2. ส่วนภูมิภาค
1. ยกเลิกหัวเมืองชั้นใน หัวเมืองพระยามหานคร หัวเมืองประเทศราช
2. ตั้ง มณฑลเทศาภิบาล แต่ละมณฑลจะมี “สมุหเทศาภิบาล” เป็นผู้ปกครอง
3. ส่วนท้องถิ่น
1. ริเริ่มการปกครองส่วนท้องถิ่น
2. ตั้ง สุขาภิบาล (แห่งแรกที่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมได้คือ สุขาภิบาลตำบลท่าฉลอม
จังหวัดสมุทรสาคร)
* ข้อสอบออกบ่อย : ผลการปฏิรูป เกิดการรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง
และเกิดเอกภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน *

7. ยุคประชาธิปไตย : สรุปเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย
เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ คณะราษฎรทำการอภิวัฒน์แผ่นดินเปลี่ยนแปลงการปกครอง
จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย
1. สิ้นสุดยุคศักดินาในสังคมไทย เริ่มต้นยุคประชาธิปไตย
2. เกิดความเสมอภาคเท่าเทียมกัน อภิสิทธิ์ต่าง ๆ ของชนชั้นสูงถูกยกเลิกไป
3. หัวหน้าคณะราษฎร คือ พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)
แกนนำคนสำคัญของคณะราษฎร อาทิเช่น : พ.อ. พระยาทรงสุรเดช , พ.อ. พระยาฤทธิอัคเนย์ ,
พ.ท. พระประศาสน์พิทยายุทธ์ , หลวงประดิษฐมนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ,
พ.ต. หลวงพิบูลสงคราม (แปลก พิบูลสงคราม) , หลวงโกวิทอภัยวงศ์ (ควง อภัยวงศ์) ,
น.ต. หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ (ถวัลย์ ธารีสวัสดิ์) , นายทวี บุณยเกตุ , ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี ฯลฯ

4. นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย คือ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์)
5. หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ไม่นาน เกิด “กบฏบวรเดช” นำโดย พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช
ร่วมกับกลุ่มทหารในต่างจังหวัดและกลุ่มศักดินาเก่า เพื่อแย่งชิงอำนาจคืนจากคณะราษฎร
แต่กบฏบวรเดชก็พ่ายแพ้ไปในที่สุด
6. หลังชนะกบฏบวรเดช คณะราษฎรกลายเป็นกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจทางการเมืองสูงสุด แต่ต่อมาแกนนำ
คนสำคัญในคณะราษฎร 2 คน ก็เกิดแตกแยกในแนวคิดทางการเมืองที่แตกต่างกัน จนเกิดการแข่งขัน
ช่วงชิง อำนาจกันเอง คือ ระหว่าง
- นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งมีแนวความคิดทางการเมืองแบบเสรีนิยมประชาธิปไตย
- จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งมีแนวความคิดทางการเมืองแบบเผด็จการทหาร
7. วันที่ 9 มิถุนายน 2489 เกิดกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8

8. เดือนพฤศจิกายน 2490 เกิดรัฐประหาร นำโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ , พ.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และ
พ.อ.เผ่า ศรียานนท์ ทำการล้มรัฐบาลของนายก พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ (หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์)
9. ทำให้นายปรีดี พนมยงค์ ต้องลี้ภัยทางการเมืองออกไปต่างประเทศ และหลังจากนั้นมีการล้มล้างอิทธิพล
ทางการเมืองของนายปรีดี ด้วยการสังหารนักการเมืองในกลุ่มของนายปรีดีอย่างโหดเหี้ยม จนทำให้
กลุ่มอำนาจการเมืองของนายปรีดี หมดอำนาจไปจากผืนแผ่นดินไทย
10. ต่อจากนั้นกลุ่มทหารบกจะกลายเป็นกลุ่มคณะบุคคลผู้กุมอำนาจทางการเมืองในไทยอย่างสูงสุด
ใช้อำนาจแบบเผด็จการทหาร และส่งต่ออำนาจกันอยู่ภายในกลุ่มทหารบก
11. เห็นได้ชัดจากตำแหน่งนายก มักจะมาจากทหารบก เช่น จอมพล ป. พิบูลสงคราม ไปสู่
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และไปสู่ จอมพลถนอม กิตติขจร
12. จนทำให้ประชาชน ปัญญาชน นิสิตนักศึกษา อาจารย์มหาวิทยาลัย และนักข่าวสื่อมวลชน
เกิดความ เบื่อหน่ายในการต่อท่ออำนาจของเผด็จการทหาร อันนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือด 14 ตุลาคม พ.ศ.2516
13. นายก คนสำคัญต่อจากจอมพลถนอม ได้แก่
- นายสัญญา ธรรมศักดิ์
- ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
- ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
- นายธานินท์ กรัยวิเชียร
- พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์
- พล อ.เปรม ติณสูลานนท์
- พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ
- นายอานันท์ ปันยารชุน (สมัยที่ 1)
- พล.อ.สุจินดา คราประยูร
- นายอานันท์ ปันยารชุน (สมัยที่ 2)
- นายชวน หลีกภัย (สมัยที่ 1)
- นายบรรหาร ศิลปอาชา
- พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
- นายชวน หลีกภัย (สมัยที่ 2)
- พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร
- พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
- นายสมัคร สุนทรเวช
- นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
- นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

เรื่องที่ 3 : ประวัติศาสตร์ไทยด้านเศรษฐกิจ
1. สมัยโบราณ : ลักษณะเด่น คือ
1. เศรษฐกิจไทยสมัยโบราณเป็นแบบผลิตเพื่อยังชีพ คือผลิตเพื่อเลี้ยงตนเอง เลี้ยงคนในชุมชน
และเพื่อเสียภาษีอากรให้กับรัฐ
2. ข้าวเป็นผลผลิตหลักของสังคม
3. การแลกเปลี่ยนสินค้าเป็นแบบแลกเปลี่ยนกันโดยตรง (เงินมีบทบาทน้อย)
4. รายได้หลักของรัฐในสมัยโบราณ คือ 1. การเก็บภาษีอากร 2. กำไรจากการค้าต่างประเทศ
5. ชาวจีนมีบทบาทในระบบเศรษฐกิจการค้าของไทยมากเพราะมีเสรีภาพในการเดินทางและมีทุนมาก
6. ในขณะที่ไพร่ถูกควบคุมด้วยระบบมูลนายไพร่ ทำให้ไม่มีเสรีภาพในการค้าขาย
7. โปรตุเกสเป็นฝรั่งชาติแรกที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับไทยในสมัยพระรามาธิบดีที่ 2
8. การค้ากับตะวันตกเฟื่องฟูสุดๆสมัยพระนารายณ์มหาราช
9. การค้ากับตะวันตกกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งสมัยรัตนโกสินทร์
10. สมัย ร.3 พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำสัญญาการค้ากับตะวันตกเป็นครั้งแรก คือ สัญญาเบอร์นี
ระหว่าง ไทย กับ อังกฤษ
11. สมัย ร.3 ได้ปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษี ที่เรียกว่า “ระบบเจ้าภาษีนายอากร”
คือ รัฐให้เอกชนประมูลจัดเก็บภาษีแทนรัฐ ทำให้คนจีนเข้าประมูลเป็นเจ้าภาษีนายอากรกันเป็นจำนวนมาก
เพราะคนจีนมีทุนเยอะและมีเครือข่ายทางการค้ามาก

2. สมัยใหม่
2.1 ร.4 พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำสัญญาบาวริง พ.ศ.๒๓๙๘ (ไทย-อังกฤษ)โดยมีสาระสำคัญคือ
1. ยกเลิกระบบพระคลังสินค้า ปล่อยให้การค้าเป็นไปโดยเสรี
2. ให้ส่ง “ข้าว” ออกขายได้
3. ให้เก็บภาษีขาเข้าได้ ร้อยละ 3 ส่วนภาษีขาออกให้เก็บตามอัตราที่ได้ตกลงกันไว้ และเก็บได้
ครั้งเดียวเท่านั้น ห้ามเก็บภาษีซ้ำซ้อน
4. ไทยต้องเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้อังกฤษ คือคนอังกฤษทำความผิดในไทยไม่ต้องขึ้น
ศาลไทยและไม่ต้องใช้กฎหมายไทย ให้ไปขึ้นศาลสถานกงสุลอังกฤษแทน
5. ไม่กำหนดวันสิ้นสุดสัญญา และถ้าจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงต้องได้รับความยินยอมจากอังกฤษ
* ผลของสัญญานี้ทำให้รูปแบบการผลิตสินค้าเปลี่ยนจากแบบยังชีพเป็นผลิตเพื่อค้าขาย *

2.2 หลังทำสัญญาบาวริง เกิดระบบเศรษฐกิจแบบเงินตราและการทำนาปลูกข้าวขยายตัวอย่างมาก
ข้าวกลายเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทย

3. การปฏิรูประบบเศรษฐกิจสมัย ร.5 พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
1. ตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ ทำหน้าที่จัดเก็บภาษี
2. ยกเลิกระบบเจ้าภาษีนายอากร
3. กำหนดเงินเดือนประจำให้กับข้าราชการ
4. จัดทำงบประมาณแผ่นดิน ขึ้นเป็นครั้งแรก
5. ปฏิรูประบบเงินตรา : เริ่มใช้หน่วยบาท สตางค์ , เทียบค่าเงินบาทกับมาตรฐานทองคำ , เริ่มใช้ธนบัตร

4. หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
1. หลวงประดิษฐมนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ร่างเค้าโครงเศรษฐกิจของคณะราษฎร ที่เรียกว่า
“สมุดปกเหลือง” ขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของสยาม โดยเฉพาะจะทำการปฏิรูปที่ดิน
แจกให้คนยากจน
2. ร.7 พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงร่างพระราชวิจารณ์คัดค้านเค้าโครงเศรษฐกิจของคณะราษฎร
ที่เรียกว่า “สมุดปกขาว” เพื่อแสดงความคิดเห็นคัดค้านต่อสมุดปกเหลือง
3. เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ประกาศใช้นโยบายชาตินิยมทางเศรษฐกิจ
และนโยบายทุนนิยมโดยรัฐ
4. จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี เกิดแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 1 พ.ศ.2504
โดยเน้น
- เน้นพัฒนาภาคอุตสาหกรรม
- เน้นรับการลงทุนจากต่างชาติ
- เกิดทุนนิยมแพร่หลายในไทย
- เน้นสร้างสาธารณูปโภค : เขื่อน ถนน ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์
**********************************************
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 : ประวัติศาสตร์ยุโรป (อารยธรรมตะวันตก)
เรื่องที่ 1 : ประวัติศาสตร์ยุโรปสมัยโบราณ

1. อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
1. เก่าแก่ที่สุด ได้รับยกย่องว่าเป็นอารยธรรมแรกของโลก
2. พบบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำไทกริส – ยูเฟรติส (อิรักในปัจจุบัน)
3. มนุษย์ในอารยธรรมนี้ มีลักษณะเด่นคือ มองโลกในแง่ร้าย เพราะสภาพภูมิศาสตร์ไม่เอื้อต่อ
การดำรงชีวิต (ภูมิอากาศกึ่งทะเลทราย แห้งแล้ง มีพายุรุนแรง)
4. ทำให้มนุษย์ในอารยธรรมนี้เกรงกลัวเทพเจ้า คิดว่าตนเองเป็นทาสรับใช้เทพเจ้า
5. จึงสร้างเทวสถานให้ใหญ่โตน่าเกรงขาม เพื่อแสดงถึงพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของเทพเจ้า
6. ผลงานโดดเด่นของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย เช่น
6.1 ซิกกูแรต : วิหารขนาดใหญ่ เป็นที่ประทับของเทพเจ้า
6.2 อักษรลิ่ม (อักษรคูนิฟอร์ม) : เก่าแก่ที่สุดในโลก
6.3 ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี : ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
6.4 สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน : หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ

2. อารยธรรมอียิปต์
1. พบบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำไนล์
2. มีความมั่นคงและเข้มแข็งกว่าเมโสโปเตเมีย
3. ชาวอียิปต์มองโลกในแง่ดี เพราะพื้นที่อุดมสมบูรณ์กว่า
4. ไม่คิดว่าตนเองเป็นทาสของเทพเจ้า แต่กลับยกย่องเทพเจ้าว่ามีความเมตตา
5. เชื่อในชีวิตหลังความตายมาก
6. ผลงานโดดเด่น : ปิรามิดขนาดใหญ่ การทำมัมมี่ ตัวอักษรเฮียโรกลิฟฟิค

3. อารยธรรมกรีก
1. รับอิทธิพลจาก เมโสโปเตเมีย อียิปต์ และอารยธรรมไมนวน บนเกาะครีต
2. ผลงานโดดเด่น
2.1 แนวคิดมนุษยนิยม
2.2 แนวคิดประชาธิปไตย
2.4 แนวคิดธรรมชาตินิยม
3. ชาวกรีกได้รับยกย่องว่าเป็น นักคิด นักทฤษฏี

4. อารยธรรมโรมัน
1. รับถ่ายทอดอารยธรรมมาจากกรีก
2. ชาวกรีกเป็นนักคิด ชาวโรมันเป็นนักปฎิบัติ
3. ชาวกรีกเน้นปัจเจกบุคคล บูชาเหตุผล รักเสรีภาพ แต่ชาวโรมันเน้นให้มนุษย์รับผิดชอบต่อรัฐ
และเน้นระเบียบวินัยกฎหมายเข้มงวด
4. ศิลปะกรีกเน้นความสวยงามอ่อนช้อย มีจินตนาการสูง แต่ศิลปะโรมันเน้นประโยชน์ใช้สอย
เช่น โคลอสเซียม ถนน ท่อน้ำประปา)
5. กรีกสร้างวิหารถวายเทพเจ้า แต่โรมันสร้างวิหารให้มนุษย์ใช้สอย
6. อาณาจักรโรมันระยะแรกปกครองแบบสาธารณรัฐ
7. ต่อมาจักรพรรดิออตตาเวียน สถาปนาจักรวรรดิโรมัน
8. ยุคนี้โรมันเจริญที่สุด แพร่ขยายดินแดนได้ทั่วยุโรป สร้างถนนทั่วทั้งจักรวรรดิ จนได้สมญานาม
“ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม”
9. สุดท้ายจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลาย เพราะถูกชาวอารยันบุกทำลาย เมื่อ ค.ศ. 476 ทำให้ยุโรปเข้าสู่
ประวัติศาสตร์สมัยกลาง

เรื่องที่ 2 : ประวัติศาสตร์ยุโรปสมัยกลาง (ยุคมืด : Dark Age)
1. จักรวรรดิโรมันแตกแยกออกเป็นอาณาจักรใหญ่น้อย ถูกปกครองโดยชาวอารยัน
2. เกิดสงครามรบพุ่งกันวุ่นวาย ทำให้ชาวยุโรปต้องหาที่พึ่งทางใจ ซึ่งก็คือศาสนาคริสต์
3. เป็นยุคที่ชาวยุโรปตกอยู่ใต้อิทธิพลของ 2 สิ่ง คือ
3.1 ศาสนาคริสต์
-พระสันตปาปา Pope และคริสตจักร มีอิทธิพลครอบงำชาวยุโรปทุกด้านตั้งแต่เกิดจนตาย
ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ (ชาวยุโรปต้องเสียภาษีให้วัด) ด้านการเมือง (พระสันตปาปาแต่งตั้ง
กษัตริย์) และด้านสังคมวัฒนธรรม (วัดเป็นศูนย์กลางชุมชน การประกอบพิธีกรรมและศิลปะ)
- ศาสนจักรในยุคนี้มีรูปแบบเหมือนอาณาจักรทางโลก
3.2 ลัทธิศักดินาสวามิภักดิ์ Feudalism
- มีการแบ่งชนชั้นคนในสังคมออกเป็น
1. ชนชั้นปกครอง (ชนชั้นเจ้าที่ดิน Landlord) : กษัตริย์ ขุนนาง อัศวิน พระสงฆ์ :
ชนชั้นนี้จะมีที่ดินเป็นของตนเอง มีอาณาจักรเป็นของตนเอง
2. ชนชั้นใต้ปกครอง : ราษฎร ชาวไร่ชาวนา ทาสติดที่ดิน : ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง
ต้องคอยรับแบ่งที่ดินมาจากชนชั้นปกครองอีกที ต้องเสียภาษีให้ชนชั้นปกครอง
และต้องจงรักภักดีสวามิภักดิ์ต่อชนชั้นปกครอง
4. การเกษตรกรรมในยุคนี้ ขุนนางจะแบ่งที่ดินให้ราษฎร ชาวไร่ชาวนา แต่ต้องส่งคืนในรูปของผลผลิต
หรือภาษี
5. ศิลปะในยุคนี้ จะได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาคริสต์ทั้งสิ้น เช่น
5.1 ศิลปะไบแซนไทน์ : วิหารมียอดโดม ซึ่งสามารถรักษาศิลปะแบบกรีกไว้ได้
5.2 ศิลปะโรมาเนสก์ : เน้นความเรียบง่ายกว่าไบแซนไทน์ เป็นศิลปะที่รับใช้ศาสนาคริสต์
มีการออกแบบให้ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นรูปโค้ง Arch โบสถ์วิหารจะมีผนังหนาทึบ เหมือน
ป้อมค่ายสงคราม เช่น หอเอนเมืองปิซา
5.3 ศิลปะโกธิค : รับใช้ศาสนาคริสต์ มักจะสร้างวิหารมียอดแหลม และเน้นงานประดับกระจกสี เช่น
วิหารโนตรดาม กรุงปารีส

เรื่องที่ 3 : ประวัติศาสตร์ยุโรปสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance)
1. เริ่มต้นที่แหลมอิตาลี เป็นแห่งแรก
2. เป็นยุคที่ชาวยุโรปหันกลับไปฟื้นฟูความเจริญของอารยธรรมกรีกโรมัน

3. สาเหตุของการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
3.1 เจ้าเมืองต่าง ๆ ในอิตาลีร่ำรวยจากการค้า ทำให้สนับสนุนงานด้านศิลปวิทยาการมาก
3.2 ความเสื่อมโทรมของศาสนจักร ทำให้ชาวยุโรปเริ่มเบื่อหน่าย
3.3 สงครามครูเสด เป็นการเปิดหูเปิดตาชาวยุโรปให้เห็นศิลปวิทยาการใหม่ ๆ
3.4 การล่มสลายของจักรวรรดิไบแซนไทน์ในยุโรปตะวันออก ทำให้ศิลปวิทยาการต่าง ๆ ไหลเข้าสู่
ยุโรปตะวันตก

4. ทฤษฎีสำคัญที่ชาวยุโรปหันไปกลับไปฟื้นฟู เช่น
4.1 ทฤษฎีมนุษยนิยม
4.2 ทฤษฎีประชาธิปไตย
4.3 ทฤษฎีธรรมชาตินิยม

5. ศิลปวิทยาการในยุคนี้ยิ่งแพร่ขยายมากยิ่งขึ้น เมื่อโยฮันเนส กูเตนเบิร์ก ชาวเยอรมันประดิษฐ์แท่นพิมพ์
เพราะทำให้พิมพ์ตำราต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
6. ศิลปินเด่น ๆ ในยุคนี้เช่น 1. ลีโอนาร์โด ดาร์วินชี 2. ไมเคิลแอนเจโล 3. ราฟาเอล
7. นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญ เช่น
1.โยฮัน กูเตนเบิร์ก : ประดิษฐ์แท่นพิมพ์
2.ลีโอนาร์โด ดาร์วินชี : เป็นทั้งศิลปินและนักวิทยาศาสตร์
3.นิโคลัส โคเปอร์นิคัส : เสนอทฤษฎีสุริยจักรวาล


เรื่องที่ 4 : ประวัติศาสตร์ยุโรปสมัยใหม่ (สมัยแห่งการค้นพบ : Age of Discovery)
1. นับจากเหตุการณ์ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ค้นพบโลกใหม่
2. เหตุการณ์สำคัญในยุคนี้ เช่น
2.1 การเดินเรือทางทะเลแพร่หลายมาก ทำให้การค้าทางทะเลเฟื่องฟูตามมา
2.2 เกิดลัทธิพาณิชยนิยม คือ รัฐบาลของประเทศในยุโรป จะลงทุนตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อแสวงหา
ผลประโยชน์ทางการค้า
2.3 เกิดชนชั้นกลางขึ้นมา คือบรรดาพ่อค้า นายทุน นักเดินเรือ ขึ้นมาถ่วงดุลกับชนชั้นเจ้าที่ดิน
2.4 การปฏิรูปศาสนาคริสต์โดยมาร์ติน ลูเธอร์ ทำให้เกิดนิกายโปรเตสแตนท์

2.5 ยุคปฎิวัติวิทยาศาสตร์
1. เป็นยุคที่เปลี่ยนวิธีพิสูจน์ความจริงทางวิทยาศาสตร์
- จากเดิมเน้นใช้การคิดวิเคราะห์ตามหลักปรัชญาและหลักตรรกศาสตร์
- มาเป็นของใหม่ เน้นใช้ระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (คือเน้นทดลอง)
2. นักวิทยาศาสตร์สำคัญ เช่น
1. ฟรานซิส เบคอน
- เสนอแนวคิดว่าการค้นหาความจริงทางวิทยาศาสตร์ต้องเน้นที่การทดลองหรือทดสอบ
- แนวคิดนี้ต่อมาเป็นรากฐานของการก่อตั้ง “ราชสมาคมแห่งลอนดอน
Royal Society of London” ซึ่งเป็น องค์กรทางวิทยาศาสตร์แบบใหม่
- และแนวคิดของฟรานซิส เบคอน นี้ ได้พัฒนาเป็น
“ระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ Scientific Method”

2. กาลิเลโอ กาลิเลอิ
- บิดาแห่งวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
- ริเริ่มการทดลองเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของทฤษฎี
- เสนอว่าคณิตศาสตร์ใช้พิสูจน์ความจริงทางวิทยาศาสตร์ได้
- สนับสนุนทฤษฎีสุริยจักรวาลของโคเปอร์นิคัส
- ประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์

3. ไอแซค นิวตัน
- ค้นพบแรงโน้มถ่วงของโลก
- ค้นพบหลักการแคลคูลัส

2.6 การปฏิวัติอุตสาหกรรม
1. เป็นยุคที่เปลี่ยนวิธีการผลิตสินค้าจากใช้แรงงานคนและสัตว์มาใช้เครื่องจักรในการผลิต

2. นักประดิษฐ์สำคัญ เช่น
1.โธมัส นิวโคแมน : พัฒนาเครื่องจักรไอน้ำโดยใช้ลูกสูบ
2.จอห์น เคย์ : ประดิษฐ์กี่กระตุก
3.เจมส์ ฮาร์กรีฟ : ประดิษฐ์เครื่องปั่นด้ายชนิดสปินนิงเจนนี
4.ริชาร์ด อาร์คไรท์ : ประดิษฐ์เครื่องปั่นด้ายพลังน้ำวอเตอร์เฟรม
5.เจมส์ วัตต์ : พัฒนาเครื่องจักรไอน้ำให้ดียิ่งขึ้น
***********************************************
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 : ประวัติศาสตร์เอเชีย (อารยธรรมตะวันออก)
เรื่องที่ 1 : ประวัติศาสตร์จีน
1. ปลายยุคราชวงศ์โจว เกิดสงครามแก่งแย่งอำนาจระหว่างเจ้าเมืองต่าง ๆ
เป็นยุคชุนชิว (ยุคฤดูใบไม้ผลิใบไม้ร่วง) กำเนิดนักปรัชญาเมธีที่สำคัญ 2 คน คือ ขงจื๊อ และ เล่าจื๊อ

1.1 ลัทธิขงจื๊อ หรือ ลัทธิหญู โดยขงจื๊อ
- เป็นหลักสำคัญมากในการดำเนินชีวิตของชาวจีนมาจนถึงปัจจุบันนี้
- ลัทธิขงจื๊อเป็นแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม เคร่งครัดในระเบียบแบบแผนพิธีกรร
และขนบธรรมเนียมประเพณีโบราณ
- เน้นความสัมพันธ์และการทำหน้าที่ของผู้คนในสังคม
โดยแบ่งเป็นความสัมพันธ์ 5 ประการ คือ
1. ความสัมพันธ์ระหว่าง ฮ่องเต้ กับ ราษฎร
2. ความสัมพันธ์ระหว่าง บิดา กับ บุตร
3. ความสัมพันธ์ระหว่าง พี่ กับ น้อง
4. ความสัมพันธ์ระหว่าง สามี กับ ภรรยา
5. ความสัมพันธ์ระหว่าง เพื่อน กับ เพื่อน
- เน้นความกตัญญู เคารพผู้อาวุโส ให้ความสำคัญกับครอบครัว
- เน้นความสำคัญของการศึกษา ทำให้สังคมจีนยกย่องผู้ที่มีการศึกษา เช่น อาชีพครูอาจารย์ บัณฑิต
จอหงวน และขุนนาง
- ลัทธินี้มีอิทธิพลต่อชนชั้นปกครองจีน (ฮ่องเต้และขุนนาง)

1.2 ลัทธิเต๋า โดยเล่าจื๊อ
- มีแนวคิดตรงข้ามกับลัทธิขงจื๊อ
- เน้นการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ต้องมีระเบียบแบบแผนพิธีรีตองใดใด
- เน้นปรับตัวเข้าหาธรรมชาติ
- ลัทธินี้มีอิทธิพลต่อศิลปิน กวี และจิตรกรจีน

2. ราชวงศ์ฉิน (จิ๋น) : สมัยจักรวรรดิ
1. เริ่มต้นยุคจักรวรรดิและยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แผ่นดินจีนรวมตัวกันเป็นปึกแผ่นมั่นคงโดย
จักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ (ฉินซิหวางตี้)
2. กำเนิดระบบจักรพรรดิ หรือระบบฮ่องเต้
3. ปกครองประเทศด้วยระบบนิตินิยม (ฝ่าเจีย) เน้นการใช้กฎหมายเป็นหลักปกครองประเทศอย่าง
เข้มงวดเป็นเผด็จการ
4. มีการเผาทำลายตำรับตำราของขงจื๊อและเล่าจื๊อ
5. สถาปัตยกรรมโดดเด่น : กำแพงหมื่นลี้และสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้

3. ราชวงศ์ฮั่น
1. ลัทธิขงจื๊อได้รับการฟื้นฟูและประกาศให้เป็นลัทธิแห่งชาติ
2. กำเนิดระบบข้าราชการหรือการสอบจอหงวน
3. เริ่มติดต่อค้าขายกับอาหรับ ตะวันออกกลาง และยุโรป ผ่านเส้นทางสายแพรไหม (Silk Road)
4. พระพุทธศาสนาเริ่มเผยแพร่เข้าสู่จีน

4. ราชวงศ์ถัง
1. ยุคทองแห่งศิลปวัฒนธรรมจีน โดยเฉพาะวรรณกรรมและกวีนิพนธ์ เจริญรุ่งเรืองมาก
กวีคนสำคัญ เช่นหลี่ไป๋ (หรือลิโป) และ ตู้ฝู่
2. พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก
3. พระภิกษุถังเสวียนจาง (ถังซำจั๋ง) เดินทางไปศึกษาพระไตรปิฏกในชมพูทวีป
4. การค้าขายกับตะวันออกกกลางและยุโรปตามเส้นทางสายแพรไหมเฟื่องฟูมากในยุคราชวงศ์นี้

5. ราชวงศ์ซ่ง (ซ้อง)
1. ฟื้นฟูและสนับสนุนลัทธิขงจื๊อ
2. เกิดศิลปวิทยาการทันสมัยหลายอย่าง เช่น
2.1 ประดิษฐ์แท่นพิมพ์ตัวหนังสือ
2.2 รักษาโรคด้วยการฝังเข็ม
2.3 ใช้เข็มทิศแม่เหล็กช่วยในการเดินเรือ
3. ยุคทองของจิตรกรรมจีนและเครื่องเคลือบดินเผาจีน (ส่งอิทธิพลต่อเครื่องสังคโลกไทย)
4. เกิดประเพณีรัดเท้าสตรี

6. ราชวงศ์หยวน (หงวน)
1. ราชวงศ์แรกของชนต่างเผ่า (มองโกล)
2. ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่ปักกิ่ง มีการวางผังเมืองอย่างดี
3. ชาวตะวันตกเข้ามาติดต่อค้าขายมาก เช่น มาร์คโค โปโล พ่อค้าชาวเมืองเวนิส อิตาลี
4. ติดต่อค้าขายกับไทย (สมัยสุโขทัย) อย่างมาก

7. ราชวงศ์หมิง (เหม็ง)
1. ขับไล่ชาวมองโกลออกไป
2. ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมจีน โดยหันกลับไปลอกเลียนแบบศิลปวัฒนธรรมสมัยราชวงศ์ถัง
3. สร้างพระราชวังหลวงปักกิ่ง (วังต้องห้าม) สร้างตามทฤษฏีฮวงจุ้ย ยุคทองของสถาปัตยกรรมจีน
4. การค้าในระบบบรรณาการ (ระบบจิ้มก้อง) เฟื่องฟูมาก มีการส่งกองเรือขนาดใหญ่ นำโดย
มหาขันทีเจิ้งเหอ (แต้ฮั้ว) ออกสำรวจทะเล
5. เกิดนวนิยายสำคัญ : สามก๊ก ไซอิ๋ว ดอกบัวทอง (จินผิงเหมย)
6. หลังจากนั้นไม่นานจีนก็ปิดประเทศ เพราะกลัวอิทธิพลชาติตะวันตก

8. ราชวงศ์ชิง (เช็ง)
1. ราชวงศ์สุดท้ายของจักรวรรดิจีน
2. เป็นราชวงศ์ของชนต่างเผ่า (แมนจู)
3. เป็นยุคที่กลับมาติดต่อค้าขายกับชาติตะวันตกอีกครั้ง
4. เริ่มถูกรุกรานจากชาติตะวันตก เช่น สงครามฝิ่น ซึ่งจีนรบแพ้อังกฤษ ทำให้ต้องลงนามใน
สนธิสัญญานานกิง
4.1 สาระสำคัญของสัญญานานกิง
- จีนต้องเปิดเมืองท่า 5 แห่ง ให้อังกฤษทำการค้า
- ยกเลิกการค้าผูกขาด ให้การค้าเป็นไปโดยเสรี
- ยกเกาะฮ่องกงให้อังกฤษเช่า
- กำหนดอัตราภาษีขาเข้า – ขาออก ในอัตราที่ต่ำและชัดเจนแน่นอน
- เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต
5. หลังจากทำสัญญานานกิงกับอังกฤษแล้ว จีนต้องทำสัญญาในลักษณะเดียวกันนี้กับชาติต่าง ๆ
ในยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นอีก
6. ต่อจากนั้นจีนต้องประสบปัญหาต่าง ๆ อีกมากมาย จนสูญเสียฐานะการเป็นชาติมหาอำนาจ เช่น
6.1 เกิดกบฏไท่ผิง จากชาวจีนรักชาติที่ต่อต้านผู้ปกครองชาวแมนจูและไม่พอใจการรุกราน
จากชาติตะวันตก
6.2 จีนรบแพ้ญี่ปุ่น ต้องทำสัญญาชิโมโนเซกิ โดยสูญเสียเกาหลีให้แก่ญี่ปุ่น
6.3 เกิดกบฏนักมวย ซึ่งต่อต้านชาวตะวันตกและต่อต้านชาวจีนคริสต์
7. ปลายยุคราชวงศ์ชิง พระนางซูสีไทเฮาเข้ามามีอิทธิพลในการบริหารประเทศมาก
8. นวนิยายโด่งดังยุคราชวงศ์ชิง : ความรักในหอแดง (หงโหลวเมิ่ง)

9. ยุคสาธารณรัฐและยุคคอมมิวนิสต์
1. ปลายยุคราชวงศ์ชิง ดร.ซุนยัดเซ็น จัดตั้งสมาคมสันนิบาต (ตงเหมิงหุ้ย) เพื่อล้มราชวงศ์ชิง
โดยประกาศลัทธิไตรราษฎร์ เพื่อ
- สร้างเอกราชของชาติอย่างแท้จริง
- ให้อำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎร
- สร้างความยุติธรรมในการดำเนินชีวิต
2. ต่อมา ซุนยัดเซ็นได้ร่วมมือกับหยวนซื่อไข่ แม่ทัพคนสำคัญ ทำการปฏิวัติล้มราชวงศ์ชิงได้สำเร็จ
3. จักรพรรดิองค์สุดท้าย คือ จักรพรรดิอ้ายซิงเจี่ยหรอ ฟู่อี้ (ปูยี)
4. ซุนยัดเซ็นเสนอให้หยวนซื่อไข่เป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐจีน
5. แต่หยวนซื่อไข่เป็นคนทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง คิดจะสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิและรื้อฟื้น
ระบบศักดินา
6. ซุนยัดเซ็นจึงตั้งพรรคก๊กมินตั๋ง ขึ้นมาต่อต้านหยวนซื่อไข่
7. หลังจากนั้นหยวนซื่อไข่เสียชีวิตลง ซุนยัดเซ็นเป็นประธานาธิบดี แต่เป็นได้ไม่นาน ก็เสียชีวิต
8. จากนั้นจีนก็แตกแยกเป็นแว่นแคว้นต่าง ๆ (ยุคขุนศึกหรือจั้นกว๋อ)
9. หลังจากซุนยัดเซ็นเสียชีวิต เจียงไคเช็คขึ้นเป็นผู้นำพรรคก๊กมินตั๋งและผู้นำจีน และพยายาม
รวบรวมจีนให้เป็นปึกแผ่นอีกครั้ง
10. แต่รัฐบาลเจียงไคเช็คประสบปัญหาฉ้อราษฎร์บังหลวง กดขี่ราษฎร และปราบปราม
พรรคคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง ทำให้เกิดความแตกแยกภายในชาติ
11. ประชาชนจึงหันไปสนับสนุน เหมาเจ๋อตุง ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์แทน
12. ในที่สุดเหมาเจ๋อตุงก็ล้มรัฐบาลเจียงไคเช็คได้ และสถาปนา “สาธารณรัฐประชาชนจีน”
ปกครองประเทศ ด้วยระบอบคอมมิวนิสต์
13. เหมาเจ๋อตุงประกาศรณรงค์ “ปฏิวัติวัฒนธรรม” เพื่อต่อต้านจารีตศักดินาแบ่งชนชั้น โดยมี
เยาวชนเรดการ์ด Red Guard ช่วยรณรงค์
14. หลังจากเหมาเจ๋อตุงเสียชีวิต เติ้งเสี่ยวผิงขึ้นเป็นผู้นำจีนแทน
15. เติ้งเสี่ยวผิงประกาศ “นโยบายสี่ทันสมัย” เพื่อปฏิรูปประเทศจีน

เรื่องที่ 2 : ประวัติศาสตร์อินเดีย
1. อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ
1. เป็นอารยธรรมของชนพื้นเมืองอินเดีย : ชนเผ่าทราวิฑ (ดราวิเดียน)
2. ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองโมเฮนโจดาโร และเมืองฮารัปปา
3. เป็นสังคมเมืองขนาดใหญ่ มีการวางผังเมืองอย่างดี ในเมืองมีสาธารณูปโภคอำนวยความสะดวก
หลายอย่าง เช่น ถนน บ่อน้ำ สระน้ำ ท่อประปา
4. มีการติดต่อค้าขายกับอารยธรรมเมโสโปเตเมีย
5. ล่มสลายลงเพราะภัยธรรมชาติและการรุกรานจากชนเผ่าอารยัน

2. อารยธรรมสมัยพระเวท
1. โดยชนเผ่าอารยันได้เข้ายึดครองอารยธรรมของชาวทราวิฑและขับไล่ให้ถอยร่นลงทางใต้
และรับถ่ายทอดอารยธรรมบางอย่างมาจากชาวทราวิฑ
2. การปกครองในระยะแรกเป็นแบบชนเผ่า ใช้ระบบสภาชนเผ่าและระบบสหพันธรัฐ
3. ระยะหลังเป็นแบบราชาธิปไตย
4. ชาวอารยันให้กำเนิดศาสนาพราหมณ์ และ ระบบวรรณะ ๔
5. วรรณกรรมสำคัญในยุคนี้
5.1 คัมภีร์พระเวท หลักธรรมสำคัญของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ประกอบด้วย 4 คัมภีร์ คือ
ฤคเวท ยชุรเวท ไตรเวท และ อาถรรพเวท
5.2 มหากาพย์รามายณะ สันนิษฐานว่าแสดงถึงการต่อสู้ระหว่างชาวอารยัน (พระราม)
กับชาวทราวิฑ (ทศกัณฑ์) แต่งโดยฤาษีวาลมิกี
5.3 มหากาพย์มหาภารตยุทธ ว่าด้วยการต่อสู้ของพี่น้องสองตระกูล (ปานฑพ – เการพ)
ในมหากาพย์นี้มีบทร้อยกรองสำคัญบทหนึ่ง อันได้ชื่อว่าเป็นหัวใจแห่งศาสนาฮินดู
คือคัมภีร์ภควัทคีตา (บทเพลงของพระเจ้า) เป็นหลักปรัชญาว่าด้วยการทำหน้าที่ของตนเอง
อย่างสมบูรณ์และว่าด้วยการบรรลุโมกษะด้วยการปฏิบัติตนตามวิถีทางที่เรียกว่า “โยคะ”
5.4 คัมภีร์มนูธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นทั้งกฎหมาย ศาสนบัญญัติ จารีตประเพณี หลักศีลธรรม
และการทำหน้าที่ของชาวฮินดู

3. อารยธรรมสมัยจักรวรรดิ : เกิดการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่น มีอาณาจักรสำคัญ ๆ เช่น
3.1 อาณาจักรมคธ
1. ตั้งขึ้นในอินเดียตอนเหนือ
2. เป็นอาณาจักรใหญ่โต แต่ยังไม่ถึงกับรวบรวมแว่นแคว้นต่าง ๆ เข้าเป็นจักรวรรดิหนึ่งเดียวได้
3. ปกครองแบบราชาธิปไตย
4. กษัตริย์องค์สำคัญ คือ พระเจ้าพิมพิสารและพระเจ้าอชาตศัตรู ซึ่งมีชีวิตร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้า
5. ภายหลังล่มสลายจากการรุกรานของจักรวรรดิเปอร์เซีย และการรุกรานของ
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช แห่งมาซีโดเนีย

3.2 จักรวรรดิแห่งราชวงศ์เมารยะ
1. สถาปนาโดยพระเจ้าจันทรคุปต์
2. รวบรวมแผ่นดินได้เป็นปึกแผ่น เกิดเป็นจักรวรรดิขึ้นมา
3. รวมอำนาจการปกครองไว้ที่ส่วนกลาง
4. กษัตริย์องค์สำคัญ คือ พระเจ้าอโศกมหาราช ได้แพร่ขยายดินแดนจนเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่
และมีเนื้อที่กว้างขวาง
5. เหตุการณ์สำคัญในรัชกาลพระเจ้าอโศกมหาราช
- ศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น และจัดส่งสมณฑูตออกเผยแผ่พระพุทธศาสนา
- ใช้หลักธรรมวิชัยคือปกครองโดยใช้ธรรมะเป็นหลักในการปกครองประเทศ และแพร่ขยาย
ดินแดนโดยการเผยแผ่ธรรมะ
- สร้างศาสนสถานในพระพุทธศาสนาไว้มากมาย เช่น สถูปเมืองสาญจี เสาหินพระเจ้าอโศก
เมืองสารนาถ

4. สมัยแบ่งแยกและการรุกรานจากภายนอก
1. หลังจากจักรวรรดิเมารยะล่มสลาย แผ่นดินก็แตกแยกออกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย
2. มีการรุกรานจากชนเผ่าต่างๆ ภายนอก เช่น เปอร์เซีย , กุษาณะ , กรีก
3. ยุคนี้อินเดียแบ่งออกเป็น 2 อาณาจักรใหญ่ คือ
3.1 อาณาจักรกุษาณะ ทางภาคเหนือ
- กษัตริย์องค์สำคัญคือพระเจ้ากนิษกะ ทรงนับถือและสนับสนุนพระพุทธศาสนาอย่างเข้มแข็ง
- กำเนิดศิลปะสกุลคันธารราษฎร์ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะกรีก เกิดมีการสร้างพระพุทธรูป
ขึ้นเป็นครั้งแรก
3.2 อาณาจักรอันธรประเทศ ทางภาคใต้
- กำเนิดศิลปะสกุลอมราวดี มีการสร้างพระพุทธรูปให้มีพระพักตร์ยาว มีเกตุมาลา มีเส้นเกศา
ขมวดเป็นปม

5. สมัยจักรวรรดิแห่งราชวงศ์คุปตะ
1. ยุคทองแห่งอารยธรรมฮินดู
2. กษัตริย์ราชวงศ์นี้รวบรวมอาณาจักรต่างๆ แล้วสถาปนาจักรวรรดิคุปตะขึ้นมาทางภาคเหนือ
3. เป็นสมัยเริ่มต้นระบบศักดินาในอินเดีย
4. กษัตริย์ส่วนใหญ่ศรัทธาและสนับสนุนศาสนาฮินดูอย่างเข้มแข็ง
5. ศิลปะแบบคุปตะได้รับยกย่องว่าเป็นศิลปะอินเดียอย่างแท้จริง งดงามที่สุด
6. เป็นสมัยที่พระพุทธศาสนาเริ่มเสื่อมความนิยมลง
7. หลังจากจักรวรรดิคุปตะล่มสลายลง อินเดียก็แตกแยกออกเป็นอาณาจักรเล็กๆน้อยๆ อีก
โดยมีราชวงศ์สำคัญที่เข้ามาปกครองนเดีย เช่น
7.1 ราชวงศ์ปัลลาวะ เข้าปกครองอินเดียทางตอนใต้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ได้ถ่ายทอด
อารยธรรมที่สำคัญให้ดินแดนต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ ตัวอักษรปัลลาวะ
ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของตัวอักษรของ มอญ พม่า ชวา ไทย ลาว

6. สมัยอาณาจักรสุลต่านแห่งเดลี
1. โดยชาวมุสลิมเผ่าเตอร์ก เข้ารุกรานอินเดียภาคเหนือและตั้งอาณาจักรสุลต่านแห่งเดลีขึ้นมา
2. กษัตริย์ในยุคนี้ ศรัทธาศาสนาอิสลามอย่างมาก จนสถาปนาศาสนาอิสลามให้เป็นศาสนาประจำชาติ
3. ทำลายล้างพระพุทธศาสนาอย่างรุนแรง จนสูญสิ้นไปจากอินเดีย
4. กำเนิดศาสนาสิกข์ขึ้นมาในอินเดียตอนเหนือ เพื่อประสานรอยร้าวระหว่างศาสนาฮินดู
และศาสนาอิสลาม

7. สมัยจักรวรรดิแห่งราชวงศ์โมกุล
1. เป็นราชวงศ์สุดท้ายของอินเดีย
2. โดยชนเผ่าโมกุลซึ่งเป็นเชื้อสายมองโกล – เตอร์ก เข้ารุกรานและโค่นล้มอาณาจักรสุลต่านแห่งเดลี
3. รวบรวมอินเดียภาคเหนือ – ภาคใต้และอาณาจักรต่าง ๆ เข้าด้วยกัน สถาปนาขึ้นเป็นจักรวรรดิโมกุล
4. ชาติตะวันตกเริ่มต้นเข้ามาติดต่อค้าขาย ชาติแรกคือ โปรตุเกส
5. ราชวงศ์นี้สนับสนุนและเผยแพร่ศาสนาอิสลามอย่างกว้างขวาง ทำให้เกิดความแตกแยกระหว่าง
ชาวฮินดูกับชาวมุสลิม
6. กษัตริย์องค์สำคัญ เช่น
6.1 พระเจ้าอักบาร์มหาราช : ทรงให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา สร้างสามัคคีให้เกิดขึ้นในชาติ
6.2 พระเจ้าชาห์ เจฮัน : ทรงเป็นมุสลิมที่เคร่งครัดและศรัทธาในศาสนาอิสลาม สร้างทัชมาฮาล
(หนึ่ง่ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่) ด้วยศิลปะเปอร์เซียผสมฮินดูเพื่อใช้บรรจุศพ
พระมเหสีมุมทัช
6.3 พระเจ้าออรังเซบ : สถาปนาศาสนาอิสลามให้เป็นศาสนาประจำชาติ ทำลายล้างศาสนาฮินดู
อย่างรุนแรง

8. สมัยอาณานิคมอังกฤษ
1. ปลายสมัยจักรวรรดิโมกุล กษัตริย์ทรงใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ต้องเพิ่มภาษีและเพิ่มการเกณฑ์แรงงาน
ทำให้ราษฎรอดอยาก และยังกดขี่ทำลายล้างศาสนาฮินดูและชาวฮินดูอย่างรุนแรง
2. ทำให้ยิ่งเพิ่มความแตกแยกภายในชาติ เป็นเหตุให้อังกฤษค่อย ๆ เข้าแทรกแซงและครอบครอง
อินเดียทีละเล็กละน้อย
3. ในที่สุดอังกฤษล้มราชวงศ์โมกุลและสถาปนาอาณานิคมอินเดียแห่งอังกฤษได้
4. หลังตกเป็นอาณานิคมแล้ว อังกฤษปกครองอินเดียใน 2 ลักษณะ คือ
4.1 บางแคว้นอังกฤษจะปกครองเองโดยตรง
4.2 บางแคว้นอังกฤษจะให้มหาราชาในท้องถิ่นนั้นปกครองกันเอง
5. สิ่งดีที่อังกฤษวางไว้ให้กับอินเดียคือ
5.1 รากฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตย : อินเดียได้ชื่อว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่
ที่สุดในโลก
5.2 ระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน
5.3 ปฏิรูประบบกฎหมายและตุลาการ : ยกเลิกประเพณีล้าหลังบางอย่าง เช่น พิธีสตี การเผาตัวตาย
ของแม่หม้ายฮินดู , การฆ่ามนุษย์เพื่อบูชายัญเจ้าแม่กาลี , การแบ่งชั้นวรรณะและการดูถูก
เหยียดหยามชนชั้นจัณฑาลตามหลักศาสนาฮินดู
5.4 สร้างความเป็นเอกภาพให้กับอินเดีย ทั้งที่เป็นดินแดนกว้างใหญ่และแตกแยกทางเชื้อชาติ
และศาสนามาก แต่มาอยู่ภายใต้การปกครองเดียวกันได้

9. สมัยเอกราช
1. หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ขบวนการชาตินิยมอินเดียนำโดย มหาตมะ คานธี และ เยาวราลห์ เนห์รู
เป็นผู้นำเรียกร้องเอกราช
2. มหาตมะ คานธี ใช้หลักอหิงสา : ความไม่เบียดเบียน และวิธีการสัตยาเคราะห์ ในการเรียกร้อง
เอกราชจนประสบความสำเร็จ
3. หลังจากอินเดียได้รับเอกราช อินเดียปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย
4. แต่จากความแตกแยกทางเชื้อชาติและศาสนา ทำให้อินเดียต้องแตกแยกเป็นอีก 2 ประเทศ คือ
ปากีสถาน (เดิมคือปากีสถานตะวันตก) และ บังคลาเทศ (เดิมคือปากีสถานตะวันออก)ในที่สุด

เรื่องที่ 3 : ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
1. มีพระจักรพรรดิปกครองประเทศมาตั้งแต่ 650 ปีก่อนคริสต์ศักราช
2. จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 9 – 19 (เกือบ 1,000 ปี)ญี่ปุ่นปกครองประเทศด้วยระบอบโชกุน
อำนาจการเมืองอยู่กับโชกุน และคณะรัฐบาลทหาร
3. โชกุนคือตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี ทำหน้าที่บริหารประเทศแทนพระจักรพรรดิ
4. พระจักรพรรดิเป็นเพียงประมุขของประเทศ ไม่มีอำนาจในการบริหาร
5. โชกุนจะสืบทอดอำนาจทางสายเลือดภายในสายตระกูลของตนเอง
6. ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 ญี่ปุ่นดำเนินนโยบายปิดประเทศ ไม่ติดต่อค้าขายกับต่างชาติ แต่ยอมติดต่อ
ค้าขายกับดัชท์(ฮอลแลนด์)และกับจีน เท่านั้น
7. การที่ญี่ปุ่นยอมติดต่อค้าขายกับดัชท์ เป็นผลดีสำหรับญี่ปุ่นเพราะทำให้ญี่ปุ่นยังคงได้รับถ่ายทอด
วิทยาการ ความรู้ทันสมัยจากดัชท์ อันจะเป็นรากฐานให้ญี่ปุ่นปรับปรุงประเทศได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเปิดประเทศอีกครั้ง
8. ญี่ปุ่นเปิดประเทศเมื่อนายพลเรือแมทธิว เพอร์รี่ แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งกองทัพเรือมาบีบญี่ปุ่น
ให้ยอมเปิดประเทศ โดยบังคับโชกุนให้ลงนามในสัญญาคานากาวะ
9. ผลการเปิดประเทศทำให้เกิดจลาจลวุ่นวายภายในประเทศญี่ปุ่น มีขุนนางบางคน ไม่พอใจ
และเริ่ม ต่อต้านโชกุน
10. ในที่สุดโชกุนคนสุดท้ายในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นคือ โชกุนเคอิคิ โตกูงาวะ ได้ยอมถวายอำนาจคืนแด่
พระจักรพรรดิมัสสุฮิโต (เมจิ)
11. หลังจากนั้นจักรพรรดิมัสสุฮิโตเริ่มดำเนินนโยบายปฏิรูปประเทศญี่ปุ่น คือ
11.1 ยกเลิกระบอบโชกุน ปกครองประเทศด้วยตนเอง
11.2 ปรับปรุงการบริหารราชการประเทศ ตั้งกระทรวง และบริหารราชการแบบจังหวัด ปรับปรุงระบบ
กฎหมาย การศึกษา กองทัพและการทหาร
11.3 ค.ศ. 1889 จักรพรรดิมัสสุฮิโตได้พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรกให้กับญี่ปุ่น นับเป็นชาติแรก
ในทวีปเอเชียที่มีรัฐธรรมนูญใช้
11.4 เนื้อหาสำคัญในรัฐธรรมนูญเมจิ ค.ศ. 1889 คือ
- จักรพรรดิทรงเป็นประมุขของประเทศ
- สภานิติบัญญัติ (สภาไดเอท) มี 2 สภา คือ สภาสูง : สภาขุนนาง
และ สภาล่าง : สภาผู้แทนราษฎร
- จัดตั้งคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี เพื่อบริหารประเทศ
- มีการตั้งพรรคการเมืองขึ้น
12. ผลจากการปฏิรูปสมัยเมจิทำให้ญี่ปุ่นเจริญมาก จนก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจของเอเชีย ตัวอย่างเช่น
12.1 ญี่ปุ่นรบชนะจีน ได้ครอบครองคาบสมุทรเกาหลี และเกาะไต้หวัน
12.2 ญี่ปุ่นรบชนะรัสเซีย เป็นเหตุสำคัญทำให้ชาวเอเชียตื่นตัวในกระแสชาตินิยม
13. ญี่ปุ่นส่งเสริมการลงทุนด้านอุตสาหกรรม การเกษตร การคมนาคม มีการสร้างทางรถไฟเชื่อมโยง
ทั่วประเทศ
14. ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 กองเรือพาณิชย์ญี่ปุ่นได้เข้าเดินเรือแทนบริษัทเดินเรือยุโรป
ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นยิ่งเจริญรุ่งเรือง
15. ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ – อุตสาหกรรมผนวกกับการขยายอำนาจทางการเมืองของญี่ปุ่น
เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นก่อสงครามโลกครั้งที่ 2
16. หลังแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นถูกสหรัฐอเมริกาบีบบังคับให้ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ โดยระบุว่า
ห้ามญี่ปุ่นมีกองทัพภายในประเทศ ทำให้ญี่ปุ่นนำงบประมาณไปทุ่มพัฒนาด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมแทน
นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นฟื้นตัวจากการแพ้สงครามได้อย่างรวดเร็ว
17. ญี่ปุ่นเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมและการค้าระหว่างประเทศ เพราะที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติมีน้อย
จึงต้องผลิตสินค้าอุตสาหกรรม เพื่อแลกกับสินค้าเกษตรและทรัพยากรจากต่างประเทศ
18. ระบบเศรษฐกิจของญี่ปุ่นได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกามาก ทั้งในด้านเงินกู้และเป็นตลาด
รับซื้อสินค้าโครงการเงินชดใช้ค่าปฏิกรรมสงคราม ซึ่งญี่ปุ่นต้องชดใช้เงินให้กับประเทศสัมพันธมิตร
ผู้ชนะสงคราม แต่ญี่ปุ่นกำหนดว่าเงินชดใช้เหล่านั้นจะต้องซื้อสินค้าญี่ปุ่นด้วย เป็นผลให้เศรษฐกิจ
อุตสาหกรรมญี่ปุ่นกลับมา เฟื่องฟูได้อีกครั้ง

สรุปย่อเนื้อหา สาระการเรียนรู้ที่ 3 : เศรษฐศาสตร์

สรุปย่อเนื้อหา สาระการเรียนรู้ที่ 3 : เศรษฐศาสตร์
1. เศรษฐศาสตร์ คือ วิชาที่ว่าด้วยการจัดสรรทรัพยากร เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากร เพราะทรัพยากรมีจำกัด
2. เศรษฐศาสตร์ แบ่งออกเป็น 2 สาขา
1. เศรษฐศาสตร์จุลภาค หรือ เศรษฐศาสตร์ภาคทฤษฎีกลไกราคา (Micro economics) เน้นศึกษากิจกรรม ทางเศรษฐกิจในหน่วยเล็กหรือหน่วยย่อย
2. เศรษฐศาตร์มหภาค หรือ เศรษฐศาสตร์ภาคทฤษฎีรายได้ประชาชาติ (Macro economics) เน้นศึกษา กิจกรรมทางเศรษฐกิจในหน่วยใหญ่ ระดับประเทศหรือระดับโลก
3. ระบอบเศรษฐกิจ ที่สำคัญของโลกมี 3 ระบอบ คือ
3.1 ระบอบทุนนิยม แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
3.1.1 ทุนนิยมแบบบังคับ : หลักการสำคัญคือ
1. รัฐบาลให้เอกชนสะสมทุนได้ มีนายทุนได้
2. เอกชนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตได้
3. แต่รัฐบาลจะบังคับเอกชนในการผลิตสินค้าบางชนิด
4. มักพบในประเทศเผด็จการทหาร เช่น ฟาสซิสต์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 , เผด็จการทหารในพม่า หรือไทยยุคเผด็จการทหารในอดีต
3.1.2 ทุนนิยมแบบเสรี : หลักการสำคัญคือ
1. รัฐบาลให้เอกชนสะสมทุนและค้าขายแข่งขันได้อย่างเสรี
2. เอกชนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตได้
3. รัฐบาลเข้าแทรกแซงน้อยที่สุด
4. ใช้กลไกราคามาก
5. พบในประเทศ เช่น USA อังกฤษ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย แคนาดา
3.2 ระบอบสังคมนิยม : หลักการสำคัญ
1. เน้นสังคมหรือประชาชน ให้อยู่ดีกินดี
2. รัฐบาลเข้าแทรกแซงมาก
3. รัฐบาลเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต
4. เน้นการกระจายรายได้ให้เป็นธรรม
5. พบในประเทศคอมมิวนิสต์ทั้งหลาย
3.3 ระบอบเศรษฐกิจแบบผสม : หลักการสำคัญ
1. รัฐบาลให้เอกชนสะสมทุนและค้าขายแข่งขันได้
2. รัฐบาลจะลงทุนทำกิจการขนาดใหญ่ (กิจการสาธาณูปโภค) แทนเอกชน * มีรัฐวิสาหกิจ *
3. รัฐบาลเก็บภาษีสูงและจัดสวัสดิการให้ประชาชน
4. เน้นการกระจายรายได้ให้เป็นธรรม
5. พบในประเทศยุโรปกลุ่มสแกนดิเนเวีย (นอร์เวย์ ฟินแลนด์ สวีเดน)
4. กิจกรรมทางเศรษฐกิจ มี 4 ประเภท
4.1 การผลิต คือ การนำปัจจัยการผลิตมาผ่านกระบวนการผลิตจนได้เป็นตัวสินค้าและบริการ
- ปัจจัยการผลิต มี 4 ประเภท คือ 1.ที่ดิน 2.แรงงาน 3.ทุน 4.ผู้ประกอบการ(หรือการประกอบการ)
4.2 การบริโภค คือ การกินหรือใช้สินค้า - บริการที่ได้จากการผลิต
4.3 การแลกเปลี่ยน คือ การนำสินค้า - บริการชนิดหนึ่งมาแลกเปลี่ยนกับอีกชนิดหนึ่ง
4.4 การกระจายหรือการแบ่งสรร มี 2 ประเภท คือ
1. การกระจายรายได้คืนสู่เจ้าของปัจจัยการผลิต 2. การกระจายสินค้า-บริการจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภค
5. กลไกราคา (ทฤษฎีอุปสงค์ - อุปทาน , กลไกตลาด )
- อุปสงค์ Demand คือ ความต้องการซื้อสินค้า - บริการ (รวมถึงจำนวนผู้ซื้อด้วย)
- อุปทาน Supply คือ ความต้องการขายสินค้า - บริการ (รวมถึงจำนวนผู้ขาย จำนวนสินค้า)
5.1 กฎอุปสงค์ : ราคาสินค้ากำหนดอุปสงค์
1.เมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้น อุปสงค์จะลดลง
2.เมื่อราคาสินค้าลดลง อุปสงค์จะเพิ่มขึ้น
5.2 กฎอุปทาน : ราคาสินค้ากำหนดอุปทาน
1.เมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้น อุปทานจะเพิ่มขึ้น
2.เมื่อราคาสินค้าลดลง อุปทานจะลดลง
5.3 ดุลยภาพ : สภาพที่อุปสงค์เท่ากับอุปทาน
- ราคาดุลยภาพ : ราคาสินค้าที่สมดุล
- ปริมาณดุลยภาพ : ปริมาณสินค้าที่สมดุล
6. การใช้นโยบายการเงินการคลังเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อและเงินฝืด
6.1 การแก้ปัญหาเงินเฟ้อ
6.1.1 ลดปริมาณเงินในมือประชาชน
6.1.2 ลดรายจ่ายของรัฐบาล
6.1.3 ส่งเสริมการออม เพื่อลดการลงทุน
6.1.4 นโยบายการเงินแบบหดตัว เช่น เพิ่มดอกเบี้ย , ลดการปล่อยสินเชื่อ
6.1.5 นโยบายการคลังแบบหดตัว เช่น เพิ่มภาษี , รัฐบาลจัดทำงบประมาณแผ่นดินแบบเกินดุล , รัฐบาลลดการใช้จ่าย , รัฐบาลออกขายพันธบัตร
6.2 การแก้ปัญหาเงินฝืด
6.2.1 เพิ่มปริมาณเงินในมือประชาชน
6.2.3 เพิ่มรายจ่ายของรัฐบาล
6.2.3 ส่งเสริมการลงทุน ลดการออม
6.2.4 นโยบายการเงินแบบขยายตัว เช่น ลดดอกเบี้ย , เพิ่มการปล่อยสินเชื่อ
6.2.5 นโยบายการคลังแบบขยายตัว เช่น ลดภาษี , รัฐบาลจัดทำงบประมาณแผ่นดินแบบขาดดุล , รัฐบาลเพิ่มการใช้จ่าย , รัฐบาลรับซื้อคืนพันธบัตร
7. การวัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ : เครื่องมือที่ใช้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ คือ การคำนวณหาตัวเลข GDP และ GNP
1.GDP : ตัวเลขของมูลค่าสินค้า-บริการขั้นสุดท้าย ที่ผลิตขึ้นภายในประเทศในรอบ 1 ปี
2.GNP : ตัวเลขของมูลค่าสินค้า-บริการขั้นสุดท้าย ที่ผลิตขึ้นโดยใช้ทรัพยากร (หรือคน) ของประเทศในรอบ 1 ปี
* จำง่ายๆ GDP ( D คือ domestic ) เน้น อาณาเขตประเทศ GNP ( N คือ national ) เน้น คน หรือ เชื้อชาติ *
8. ดุลการชำระเงินระหว่างประเทศ คือ ตัวเลขที่แสดงฐานะทางการเงินของประเทศในรอบ 1 ปี โดยดูได้จาก 3 บัญชีสำคัญ คือ
1.บัญชีเดินสะพัด ประกอบด้วย 3 บัญชีย่อย คือ
1. บัญชีการค้า : บัญชีที่แสดงรายการสินค้าส่งออกหักลบกับสินค้านำเข้า
2. บัญชีบริการ : บัญชีที่แสดงรายการบริการส่งออกหักลบกับบริการนำเข้า
3. บัญชีบริจาคหรือบัญชีเงินโอน : บัญชีที่แสดงรายการเงินบริจาคที่โอนเข้าประเทศหักลบกับที่โอนออกจากประเทศ
2.บัญชีทุนเคลื่อนย้าย : บัญชีที่แสดงรายการทุนไหลเข้าประเทศหักลบกับทุนไหลออกจากประเทศ
3.บัญชีทุนสำรองระหว่างประเทศ : บัญชีที่แสดงดุลการชำเงินระหว่างประเทศทั้งหมด
9. การเปลี่ยนแปลงอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ มีผลดังนี้
9.1 เพิ่มค่าเงินบาท (เงินบาทแข็งค่าขึ้น) ผลคือ ส่งออกลดลง , นำเข้าเพิ่มขึ้น , หนี้ต่างประเทศลดลง , ปริมาณการท่องเที่ยวจากต่างประเทศลดลง
9.2 ลดค่าเงินบาท (เงินบาทอ่อนค่าลง) ผลคือ ส่งออกเพิ่มขึ้น , นำเข้าลดลง , หนี้ต่างประเทศเพิ่มขึ้น , ปริมาณการท่องเที่ยวจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น

สรุปย่อเนื้อหา สาระการเรียนรู้ที่ 2 : หน้าที่พลเมือง วัฒน

สรุปย่อเนื้อหา สาระการเรียนรู้ที่ 2 : หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 : สรุปย่อเนื้อหาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง
เรื่องที่ 1 : ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับรัฐ

1. รัฐ (state) คือ ดินแดนที่มีคนมาอาศัยอยู่รวมกัน โดยต้องมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ
1. ประชาชน หรือ ประชากร จำนวนหนึ่ง จะมากหรือน้อยก็ได้ และมีหลายเชื้อชาติได้
2. อาณาเขต ต้องกำหนดให้ชัดเจนแน่นอน ปักปันเขตแดนให้แน่นอน
3. รัฐบาล คือ คณะผู้บริหารปกครองดินแดนนั้น ซึ่งจะมาจากการเลือกตั้ง(ระบอบประชาธิปไตย) หรือ มาจากคณะทหาร(ระบอบเผด็จการทหาร) หรือ มาจากกษัตริย์(ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์) ก็ได้ ขึ้นอยู่กับระบอบการเมืองของรัฐนั้น
4. อำนาจอธิปไตย คือ อำนาจสูงสุดในการปกครองรัฐของตนเอง โดยไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของใคร * อำนาจอธิปไตย ก็คือ เอกราช นั่นเอง *
2. ประเภทของรัฐ แบ่งได้ 2 ประเภท
1. รัฐเดี่ยว : มีรัฐบาลแห่งเดียว
1) ตั้งอยู่ที่เมืองหลวงของประเทศ
2) ไม่มีรัฐบาลประจำอยู่ตามท้องถิ่นหรือตามมลรัฐต่าง ๆ
3) ตัวอย่างประเทศที่เป็นรัฐเดี่ยวเช่น ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส * ประเทศส่วนใหญ่ในโลก จะเป็นรัฐเดี่ยว *
2. รัฐรวม : มีรัฐบาล 2 ระดับ 2 รูปแบบ คือ
1) รัฐบาลกลาง : จะบริหารงานในเรื่องสำคัญ ๆ ของทั้งประเทศ เช่น งานทหาร งานการฑูต งานการคลัง เป็นต้น
2) รัฐบาลท้องถิ่น หรือ รัฐบาลมลรัฐ : จะบริหารงานในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ภายในท้องถิ่น เช่น งานเก็บกวาดขยะรักษาความสะอาดภายในท้องถิ่น งานสาธารณสุข งานอนามัย งานการศึกษา เป็นต้น
3) ตัวอย่างประเทศที่เป็นรัฐรวม เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา มาเลเซีย
เรื่องที่ 2 : ระบอบการเมืองที่สำคัญของโลก
มี 2 ประเภท คือ
1. ระบอบประชาธิปไตย : เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน
1.1 หลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย คือ
1. หลักการอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ถือเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตย
2. หลักการสิทธิเสรีภาพ : ประชาชนต้องมีสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน เช่น
1) สิทธิในชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของตนเอง
2) สิทธิในการรับบริการขั้นพื้นฐานจากรัฐ
3) เสรีภาพในการนับถือศาสนา
4) เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
5) เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ
6) เสรีภาพในการรวมตัวกันเป็นสมาคม สหภาพ สหพันธ์ สหกรณ์ องค์การเอกชน หรือหมู่คณะอื่น
3. หลักการความเสมอภาค โดยเฉพาะเสมอภาคในทางกฎหมาย
4. หลักการยอมรับเสียงข้างมาก แต่ไม่ละเลยเสียงข้างน้อย
5. หลักการเหตุผล คือเน้นใช้เหตุผลและความสงบ
6. หลักการนิติธรรม คือกฎหมายสำคัญที่สุด ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน
1.2 การมีส่วนร่วมของประชาชน : ตามระบอบประชาธิปไตย ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการปกครองได้ โดยประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ 4 วิธี คือ
1) มีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง
2) มีส่วนร่วมในพรรคการเมือง
3) มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
4) มีส่วนร่วมในการจัดตั้งกลุ่มผลประโยชน์
1.3 ประเภทของระบอบประชาธิปไตย แบ่งได้ 3 ประเภท
1. แบบรัฐสภา (แบบอังกฤษ) : ลักษณะเด่นคือ
1) แบบรวมอำนาจ คืออำนาจสูงสุดอยู่ที่ สภา และสภากับรัฐบาลทำงานใกล้ชิดกัน 2) นายกรัฐมนตรีมาจากสภา โดยสภาเป็นผู้เลือก คือ ประชาชนเลือก ส.ส. แล้ว ส.ส. เลือกนายก (ไม่มีการเลือกตั้งตำแหน่งนายกโดยตรง) และนายกเป็นหัวหน้ารัฐบาล ทำหน้าที่บริหารประเทศ
3) การทำงาน : นายกและรัฐบาลบริหารประเทศภายใต้ความไว้วางใจของสภา และสภาควบคุมการทำงาน ของนายกและรัฐบาล เช่น ตรวจสอบรัฐบาลได้ ตั้งกระทู้ถามรัฐบาลได้
4) การถ่วงดุลอำนาจระหว่างสภากับรัฐบาล :
- สภาลงมติไม่ไว้วางใจนายกและรัฐบาล ได้
- นายกยุบสภา ได้ (เฉพาะ ส.ส.)
5) ประเทศที่มีกษัตริย์เป็นประมุขมักใช้ระบอบนี้ เช่น อังกฤษ ไทย ญี่ปุ่น มาเลเซีย กัมพูชา นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม สเปน แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
6) แต่ก็มีบางประเทศที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุขและใช้ระบอบนี้ เช่น สิงคโปร์ อินเดีย เยอรมัน อิตาลี * ข้อสังเกต ประชาธิปไตยแบบนี้ตำแหน่งประมุข (ไม่ว่าจะเป็นพระมหากษัตริย์หรือประธานาธิบดี) จะไม่มีอำนาจบริหารประเทศ จะดำรงตำแหน่งเป็นประมุขของประเทศเพียงอย่างเดียว ผู้มีอำนาจบริหารประเทศคือนายกรัฐมนตรี *
2. แบบประธานาธิบดี (แบบสหรัฐอเมริกา) : ลักษณะเด่นคือ
1) แบบแบ่งแยกอำนาจ คือมีการแบ่งแยกอำนาจหน้าที่อย่างชัดเจนระหว่างสภากับประธานาธิบดี คือ สภาออกกฎหมาย ส่วนประธานาธิบดีบริหารประเทศ
2) ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ทำหน้าที่บริหารประเทศและประธานาธิบดี จะเป็นทั้งประมุขของประเทศ และเป็นหัวหน้ารัฐบาลด้วย
3) การทำงาน : แบ่งแยกอำนาจระหว่างประธานาธิบดีกับสภา คือต่างฝ่ายต่างทำงาน
- ประธานาธิบดีทำหน้าที่บริหาประเทศ
- สภาทำหน้าที่นิติบัญญัติ (ออกกฎหมาย)
4) การถ่วงดุลอำนาจ :
- สภาลงมติไม่ไว้วางใจประธานาธิบดี ไม่ได้
- ประธานาธิบดียุบสภา ไม่ได้
- แต่ก็ถ่วงดุลกันได้บ้างเช่น สภาออกกฎหมายแต่ประธานาธิบดีเป็นผู้ลงนามประกาศใช้กฎหมาย (ดังนั้นประธานาธิบดีจึงมีสิทธิวีโต้กฎหมายได้)
5) ประเทศที่ใช้ระบอบนี้ เช่น USA ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เม็กซิโก
* ข้อสังเกต ประชาธิปไตยแบบนี้จะไม่มีตำแหน่งนายก *
3. แบบกึ่งประธานาธิบดีกึ่งรัฐสภา (แบบฝรั่งเศส) : ลักษณะเด่นคือ
1) แบบผสมกันระหว่างอังกฤษกับUSA
2) มีทั้งประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรี แต่ประธานาธิบดีจะมีอำนาจมากกว่า
3) ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยตรง แต่นายกมาจากการแต่งตั้ง และนายกจะบริหาร ประเทศภายใต้ความไว้วางใจของสภา
4) การทำงาน :ประธานาธิบดีและนายกจะบริหารประเทศร่วมกัน แต่ประธานาธิบดีจะมีอำนาจมากกว่า (นายกจะเป็นเหมือนผู้ช่วยประธานาธิบดี)
5) การถ่วงดุลอำนาจ :
- สภาลงมติไม่ไว้วางใจกับนายกได้ แต่ลงมติกับประธานาธิบดีไม่ได้
- ประธานาธิบดียุบสภา ได้
6) ประเทศที่ใช้ระบอบนี้ เช่น ฝรั่งเศส รัสเซีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน
* ข้อสังเกต ประชาธิปไตยแบบนี้ประธานาธิบดีจะมีอำนาจมากกว่านายก *
2. ระบอบเผด็จการ : การปกครองที่ไม่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม โดยอำนาจรัฐหรือรัฐบาลสำคัญที่สุด (สำคัญกว่าสิทธิเสรีภาพของประชาชนเสียอีก) เผด็จการแบ่งได้ 2 ประเภท ได้แก่
1. เผด็จการอำนาจนิยม : ลักษณะเด่นคือ
1) เน้นควบคุมประชาชนเฉพาะอำนาจทางด้านการเมือง แต่ให้เสรีภาพด้านเศรษฐกิจและด้านสังคมวัฒนธรรม
2) ยอมให้มีการลงทุนได้ ให้มีการเลือกตั้งได้ ให้ตั้งพรรคการเมืองได้ (แต่ไม่เสรี)
3) แต่ห้ามประชาชนประท้วงรัฐบาล และห้ามวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล (ประชาชนต้องเชื่อฟังและปฏิบัติ ตามคำสั่งของรัฐอย่างเคร่งครัด)
4) พบในประเทศเผด็จการทหารทั้งหลาย เช่นประเทศไทยในอดีต เกาหลีใต้ในอดีต หรือ พม่าในปัจจุบัน
2. เผด็จการเบ็ดเสร็จนิยม : เน้นควบคุมประชาชนเบ็ดเสร็จเด็ดขาดทั้ง 3 ด้าน คือ การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม โดยแบ่งย่อยได้อีก 2 ประเภท คือ
1. เผด็จการฟาสซิสต์ : ลักษณะเด่นคือ
1) เน้นผู้นำรัฐที่เป็นคนคนเดียว เช่น
- อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำเยอรมนี
- เบเน็ตโต มุสโสลินี ผู้นำอิตาลี
- ฮิเดกิ โตโจ ผู้นำญี่ปุ่น
- แปลก พิบูลสงคราม ผู้นำไทย
2) บ้าชาตินิยม คลั่งเชื้อชาติ รังเกียจชนชาติอื่น
3) สนับสนุนทุนนิยม คือยอมให้มีนายทุนนักธุรกิจได้
4) ยกย่องอาชีพทหาร
5) ปัจจุบันถือว่าไม่มีแล้ว เคยมีในอดีตสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ในกลุ่มประเทศฝ่ายอักษะ เช่น เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น ไทย
2. เผด็จการคอมมิวนิสต์ : ลักษณะเด่นคือ
1) เน้นพรรคคอมมิวนิสต์ว่าสำคัญที่สุด ไม่เน้นผู้นำรัฐที่เป็นคนคนเดียว
2) ไม่เน้นชาตินิยม
3) ต่อต้านทุนนิยม สนับสนุนแนวคิดสังคมนิยม
4) ยกย่องอาชีพเกษตรกรและกรรมกร
5) พบในประเทศ เช่น จีน เวียดนาม เกาหลีเหนือ คิวบา และประเทศลาว (ระวัง ! ชื่อสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แต่เป็นคอมมิวนิสต์)
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 : สรุปย่อเนื้อหาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมาย
กฎหมาย คือ กฎหรือข้อบังคับของรัฐซึ่งกำหนดความประพฤติของมนุษย์ ถ้าฝ่าฝืนจะได้รับผลร้ายหรือถูกลงโทษ
เรื่องที่ 1 : ลักษณะของกฎหมาย ประกอบด้วย
1. ต้องใช้ได้ทั่วไป กับทุกคนภายในประเทศ (ไม่เว้นแม้แต่ชาวต่างประเทศ เมื่อทำความผิดในประเทศไทย ต้องถูกลงโทษด้วยกฎหมายไทย)
2. ต้องใช้ได้ตลอดไป ตลอดเวลาจนกว่าจะยกเลิก (ตราบใดถ้ายังไม่ได้ยกเลิก จะต้องบังคับใช้ตลอดเวลา)
3. ต้องตราหรือบัญญัติโดยผู้มีอำนาจสูงสุดของประเทศ (รัฏฐาธิปัตย์)
4. ต้องควบคุมการกระทำของมนุษย์ (ไม่รวมการกระทำของสัตว์ ถ้าสัตว์ทำผิดสัตว์ไม่ผิด เจ้าของสัตว์ ต้องรับผิดชอบแทน)
5. ต้องมีสภาพบังคับทางกฎหมาย ในกรณีที่มีคนฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งจะแต่ต่างกัน คือ
1) ทางอาญา สภาพบังคับ คือ โทษ
2) ทางแพ่ง สภาพบังคับ คือ การชดใช้ค่าเสียหาย
เรื่องที่ 2 : ระบบกฎหมายของโลก
แบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ
1. ระบบกฎหมายจารีตประเพณี (Common Laws)
1) ไม่ได้บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
2) แต่จะใช้จารีตประเพณี หรือค่านิยมความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น ร่วมกับใช้คำพิพากษาของศาล ในอดีตเป็นกฎหมาย
3) ใช้ในประเทศ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
2. ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร (Civil Laws) หรือระบบประมวลกฎหมาย
1) ต้องบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และมักมีการจัดทำ “ประมวลกฎหมาย” ขึ้นมาใช้ภายในประเทศ
2) ไม่ใช้จารีตประเพณี เป็นกฎหมาย
3) ใช้จารีตประเพณีบ้างเล็กน้อยในบางกรณี เช่น ใช้ในเกมส์กีฬาบางประเภท (ต่อยมวยบนเวทีมวยไม่ผิด แต่ต่อยนอกเวทีมวยเป็นความผิด)
4) ใช้ในประเทศ จักรวรรดิโรมันโบราณ ฝรั่งเศส เยอรมนี ไทย
เรื่องที่ 3 : ประเภทของกฎหมาย
1.1 กฎหมายที่ต้องผ่านความเห็นชอบด้วยการลงประชามติ มีประเภทเดียว คือ รัฐธรรมนูญ
1.2 กฎหมายที่ตราโดยฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) เช่น พระราชบัญญัติ(+ประมวลกฎหมาย)
1.3 กฎหมายที่ตราโดยฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) เช่น พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง
1.4 กฎหมายที่ตราโดยฝ่ายปกครองท้องถิ่น เช่น ข้อบัญญัติ กทม. ข้อบัญญัติเมืองพัทยา ข้อบัญญัติ อบจ. ข้อบัญญัติ อบต. และเทศบัญญัติ
1.5 กฎหมายมหาชน : รัฐกับเอกชน เช่น รัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง กฎหมายอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและพาณิชย์
1.6 กฎหมายเอกชน : เอกชนกับเอกชน เช่น กฎหมายครอบครัว กฎหมายมรดก กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
1.7 กฎหมายระหว่างประเทศ : รัฐต่อรัฐ เช่น สนธิสัญญาทางการฑูต สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
เรื่องที่ 4 : กระบวนการยุติธรรมด้านคดีอาญา ประกอบด้วย
1. คู่กรณี 2 ฝ่าย : โจทก์ - จำเลย
2. พนักงานปกครอง : ปราบปราม จับผู้กระทำความผิด ได้แก่ ตำรวจ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
3. พนักงานสอบสวน : สอบสวนหาพยานหลักฐาน ได้แก่ ตำรวจ
4. พนักงานอัยการ : เป็นทนายความของฝ่ายผู้เสียหายหรือโจทก์(ฝ่ายรัฐ) * ทนายความของแผ่นดิน *
5. ทนายความจำเลย
6. ศาลสถิตยุติธรรม มี 3 ระดับ คือ 1. ศาลชั้นต้น 2. ศาลอุทธรณ์ 3. ศาลฎีกา
7. พนักงานราชทัณฑ์
8. พนักงานคุมประพฤติ * กรณีรอลงอาญา *
เรื่องที่ 5 : กระบวนการยุติธรรมด้านคดีแพ่ง ประกอบด้วย
1. คู่กรณี 2 ฝ่าย : โจทก์ - จำเลย
2. ทนายความของทั้ง 2 ฝ่าย * ต้องจัดหากันมาเอง * และพนักงานอัยการ ในกรณีรัฐถูกฟ้องคดีแพ่ง
3. ศาลแพ่ง
4. พนักงานบังคับคดี

สรุปย่อเนื้อหา สาระการเรียนรู้ที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม และจริยธรรม

สรุปย่อเนื้อหา สาระการเรียนรู้ที่ 1 : ศาสนา ศีลธรรม และจริยธรรม
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 : ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับศาสนา
1. องค์ประกอบของศาสนา ได้แก่
1. ศาสดา : ผู้ประกาศและเผยแผ่ศาสนา
- พุทธ คือ พระสมณโคดมพุทธเจ้า หรือ พระศากยมุนีพุทธเจ้า
- พราหมณ์ฮินดู ไม่มีศาสดา
- อิสลาม คือ นบีมุฮัมมัด
- คริสต์ คือ พระเยซูคริสต์เจ้า
2. ศาสนธรรม : หลักธรรมหรือคัมภีร์ประจำศาสนา
- พุทธ คือ คัมภีร์พระไตรปิฎก
- พราหมณ์ฮินดู คือ คัมภีร์พระเวท
- อิสลาม คือ พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน
- คริสต์ คือ คัมภีร์ไบเบิล
3. ศาสนิกชน : สมาชิกผู้นับถือศาสนา แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ
3.1 ระดับพระสงฆ์หรือนักบวช
- พุทธ เรียกว่า พระภิกษุสงฆ์ สามเณร
- พราหมณ์ฮินดู เรียกว่า พราหมณ์
- อิสลาม ที่จริงแล้วไม่มีนักบวช จะมีแต่ครูหรือผู้สอนศาสนา เช่น โต๊ะอิหม่าม โต๊ะครู
- คริสต์ เรียกว่า บาทหลวง คุณพ่อ (Father) ภราดา (Brother) แม่ชี (Sister)
3.2 ระดับฆราวาส
4. ศาสนพิธี : พิธีกรรมประจำศาสนา
- พุทธ เช่น พิธีตักบาตร พิธีเวียนเทียน
- พราหมณ์ฮินดู เช่น พิธีบูชาไฟ พิธีบูชายัญ
- อิสลาม เช่น พิธีละหมาด พิธีถือศีลอด
- คริสต์ เช่น พิธีมิสซา พิธีรับศีลล้างบาป
5. ศาสนสถาน : สถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
- พุทธ เช่น วัด สำนักสงฆ์
- พราหมณ์ฮินดู เช่น เทวสถาน
- อิสลาม เช่น มัสยิดหรือสุเหร่า
- คริสต์ เช่น คริสตจักร
6. ศาสนสัญลักษณ์ : สัญลักษณ์ประจำศาสนา
- พุทธ เช่น กงล้อธรรมจักร
- พราหมณ์ฮินดู เช่น ตัวอักษรโอม และ ตรีศูล
- อิสลาม เช่น พระจันทร์เสี้ยวกับดวงดาว
- คริสต์ เช่น ไม้กางเขน
2. ประเภทของศาสนา แบ่งตามความเชื่อเรื่องพระเจ้า แบ่งได้ 2 ประเภท คือ
2.1 เทวนิยม : นับถือพระเจ้า แบ่งย่อยได้อีก 2 ประเภท คือ
1. เอกเทวนิยม คือ นับถือพระเจ้าองค์เดียว เช่น ศาสนายิว , คริสต์ และอิสลาม
2. พหุเทวนิยม คือ นับถือพระเจ้าหลายองค์ เช่น ศาสนาพราหมณ์ฮินดู
2.2 อเทวนิยม คือ ไม่นับถือพระเจ้า แต่เชื่อในเรื่องกรรมหรือการกระทำของตัวเอง เช่น พระพุทธศาสนา , ศาสนาเชน (ในอินเดีย) และลัทธิขงจื๊อ

สรุปย่อหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 : พระพุทธศาสนา
เรื่องที่ 1 : ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา

1. ประเภทศาสนา : แบบ อเทวนิยม ไม่นับถือพระเจ้า เน้นเชื่อในเรื่องกรรมของตนเอง
2. พระเจ้า : ไม่มี
3. ศาสดา : พระสมณโคดมพุทธเจ้า หรือ พระศากยมุนีพุทธเจ้า
4. คัมภีร์ : พระไตรปิฎก ซึ่งประกอบด้วย 3 ปิฎก (3 หมวด) คือ
1) พระวินัยปิฎก เกี่ยวกับ ระเบียบวินัย ศีล สิกขาบท ของพระภิกษุสามเณร (พระภิกษุถือศีล 227 ข้อ สามเณรถือศีล 10 ข้อ)
2) พระสุตตันตปิฎก (พระสูตร) เกี่ยวกับ เทศนาธรรมของพระพุทธเจ้าโดยมีเรื่องราว มีคน มีสถานที่ *ไม่ใช่หลักธรรมล้วนๆ *
3) พระอภิธรรมปิฎก เกี่ยวกับ หลักธรรมล้วน ๆ ไม่มีเรื่องราว ไม่มีคน ไม่มีสถานที่
5. นิกาย : มี 2 นิกายสำคัญ
5.1 นิกายเถรวาท (หินยาน) : ลักษณะเด่นคือ
1. เคร่งครัดในพระวินัยและสิกขาบทต่าง ๆ ไม่แก้ไขพระวินัยข้อใดเลย
2. รักษาและถ่ายทอดพระไตรปิฎกดั้งเดิมอย่างเคร่งครัด ไม่ตัดต่อแต่งเติมพระไตรปิฎก แต่อย่างใด
3. นับถือพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์แต่เพียงแค่องค์เดียว (คือ พระสมณโคดมพุทธเจ้า)
4. เน้นปฏิบัติธรรมช่วยเหลือตนเองให้พ้นทุกข์ ก่อนช่วยเหลือคนอื่น
5. แพร่หลายในประเทศ ไทย ศรีลังกา พม่า ลาว กัมพูชา
6. พิเศษเฉพาะนิกายเถรวาทในไทย จะมีแบ่งย่อยเถรวาทในไทยออกเป็นอีก 2 นิกายย่อย (แต่ล้วนเป็นเถรวาททั้งคู่) คือ
- มหานิกาย เช่น วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดอรุณราชวราราม วัดราชโอรสาราม วัดสุทัศนเทพวราราม วัดระฆังโฆสิตาราม วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม วัดสระเกศ วัดชนะสงคราม วัดปากน้ำ วัดกัลยาณมิตร วัดไตรมิตรวิทยาราม ฯลฯ
- ธรรมยุติกนิกาย เช่น วัดบวรนิเวศวิหาร วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม วัดราชาธิวาส วัดบวรมงคล วัดมกุฏกษัตริยาราม วัดโสมนัสวิหาร วัดเทพศิรินทราวาส วัดบรมนิวาส วัดปทุมวนาราม วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร วัดพระรามเก้ากาญจนาภิเษก ฯลฯ
5.2 นิกายอาจาริยวาท (มหายาน) : ลักษณะเด่นคือ
1. มีการแก้ไขพระวินัยและสิกขาบท บางข้อ เช่น ฉันอาหารเย็นได้ , ใส่จีวรหลากหลายรูปแบบ หลากหลายสีสัน (บางนิกายย่อย พระมีเมีย มีลูกได้)
2. มีการแก้ไข ตัดต่อแต่งเติมพระไตรปิฎก โดยเฉพาะจะเน้นนับถือพระสูตรมาก และจะนิยมสวดมนต์สาธยายพระสูตร
3. นับถือพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์หลายองค์ เน้นสวดมนต์อ้อนวอนขอพรจากพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์เหล่านั้น เช่น พระอมิตาภะพุทธเจ้า , พระไภสัชคุรุพุทธเจ้า , พระไวโรจนะพุทธเจ้า , พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ (กวนอิม) , พระมัญชุศรีมหาโพธิสัตว์ , พระสมันตภัทรมหาโพธิสัตว์ และพระศรีอาริยเมตไตรยมหาโพธิสัตว์ เป็นต้น
4. เน้นปฏิบัติธรรมช่วยเหลือคนอื่นให้พ้นทุกข์ก่อนตนเอง (เน้นบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์)
5. แพร่หลายในประเทศ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม มองโกเลีย ภูฏาน ธิเบต
เรื่องที่ 2 : หลักธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนา
1. อริยสัจ 4 : ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ * หัวใจแห่งพระพุทธศาสนา *
1) ทุกข์ : ผล : คือสภาวะทนได้ยาก ทุกข์ทรมาน ไม่สบายกายไม่สบายใจ
2) สมุทัย : เหตุ : คือเหตุแห่งทุกข์ อันได้แก่ ตัณหา (ความอยาก) นั่นเอง
3) นิโรธ : ผล : คือสภาวะดับทุกข์ หมดทุกข์ หรือ นิพพาน นั่นเอง
4) มรรค : เหตุ : คือเหตุแห่งดับทุกข์ หรือ วิธีดับทุกข์
* อริยสัจ 4 เป็นหลักธรรมที่ทำให้พระพุทธศาสนาได้รับการยกย่องว่า เป็นศาสนาที่มีเหตุมีผลมากที่สุด *
2. ขันธ์ 5 : องค์ประกอบแห่งชีวิตมนุษย์ 5 ประการ คือ
1) รูป (รูปธรรม) คือ รูปร่างร่างกายของมนุษย์อันประกอบไปด้วยธาตุ 4 คือ ดิน (เนื้อหนังมังสา กระดูกของร่างกายเรา) น้ำ (เลือด น้ำหนอง น้ำลาย ในร่างกาย) ลม (แก๊สในร่างกาย ในกระเพาะอาหาร) ไฟ (อุณหภูมิความร้อนของร่างกาย)
2) เวทนา (นามธรรม) คือ ความรู้สึก มี 3 ประเภท คือ 1.รู้สึกสุข 2.รู้สึกทุกข์ 3.รู้สึกเฉย ๆ ไม่สุขไม่ทุกข์
3) สัญญา (นามธรรม) คือ ความจำได้หมายรู้ กำหนดรู้สิ่งต่าง ๆ ได้โดยไม่หลงลืม 4) สังขาร (นามธรรม) คือ ความคิด ที่จะปรุงแต่งจิตให้กระทำสิ่งต่าง ๆ
5) วิญญาณ (นามธรรม) คือ อารมณ์การรับรู้ของจิต ผ่านทางช่องทางการรับรู้ทั้ง 6 (อายตนะ 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ไม่ใช่ภูติผีปีศาจใดใดทั้งสิ้น
3. ไตรสิกขาหรืออริยมรรค 8 ประการ : การฝึกฝนอบรมตนเอง 3 ขั้น ซึ่งจะตรงกับอริยมรรค 8 ประการดังนี้
1) ศีลสิกขา : การอบรมกาย วาจา ให้สงบเรียบร้อย เป็นปรกติ ได้แก่
- สัมมากัมมันตะ คือ กระทำชอบ ทำแต่ความดี ทำแต่สิ่งที่สุจริต
- สัมมาวาจา คือ วาจาชอบ พูดชอบ พูดแต่สิ่งดี ๆ
- สัมมาอาชีวะ คือ เลี้ยงชีพชอบ ประกอบอาชีพสุจริต
2) สมาธิสิกขาหรือจิตสิกขา : การอบรมจิต ให้สงบเรียบร้อย เป็นปรกติ ได้แก่
- สัมมาสมาธิ คือ จิตตั้งมั่นชอบ จิตสงบไม่ฟุ้งซ่าน
- สัมมาสติ คือ ระลึกรู้ตัวชอบ ไม่หลงใหล
- สัมมาวายามะ คือ เพียรระวังตนชอบ ไม่ให้ทำความชั่วและหมั่นรักษาความดีให้ดียิ่งขึ้น
3) ปัญญาสิกขา : การอบรมปัญญา ให้เกิดความรู้แจ้ง ได้แก่
- สัมมาสังกัปปะ คือ คิดชอบ คิดแต่สิ่งดีสุจริต
- สัมมาทิฏฐิ คือ มีความเห็นชอบ มีความคิดเห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรมตามหลักศาสนา พุทธ เช่น เชื่อในอริยสัจ 4 เชื่อในกฎแห่งกรรมว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อในสังสารวัฏ การเวียนว่ายตายเกิด
* ไตรสิกขาพัฒนามาจากอริยมรรค ๘ ถือเป็นหลักธรรมเรื่องเดียวกัน *
4. ไตรลักษณ์ (สามัญญลักษณ์) : ลักษณะสามัญของสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต จะเป็นไปตามกฎ 3 ประการนี้ คือ
1) อนิจจัง : สรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยงแท้ไม่แน่นอน ล้วนต้องมีการเปลี่ยนแปลง
2) ทุกขัง : สรรพสิ่งล้วนทนได้ยาก เป็นทุกข์ทรมาน
3) อนัตตา : สรรพสิ่งล้วนไม่มีตัวตน เราควบคุมมันไม่ได้
* อนัตตาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของพุทธ และตรงข้ามกับอาตมัน(อัตตา) ของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดูมากที่สุด *
5. โอวาทปาฏิโมกข์ : หลักธรรมสำคัญอีกประการหนึ่งในพระพุทธศาสนา ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงเทศนาในวันมาฆบูชา (วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3)
1) ทำแต่ความดี
2) ละเว้นความชั่ว
3) ทำจิตให้บริสุทธ์ผ่องใส
6. พรหมวิหาร 4 : ธรรมสำหรับผู้เป็นพรหม หรือผู้เป็นใหญ่เป็นโตเป็นที่พึ่งพิงของผู้อื่น
1) เมตตา : ปรารถนาให้ผู้อื่นมีสุข
2) กรุณา : ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
3) มุทิตา : ยินดีเมื่อผู้อื่นมีสุข
4) อุเบกขา : วางเฉยเสีย ไม่ยินดียินร้าย
7. กรรมนิยาม 12 : กฎแห่งกรรมหรือแห่งการกระทำ ซึ่งกรรมตามหลักพระพุทธศาสนา จะต้องเป็นการ กระทำที่ประกอบด้วย เจตนาเท่านั้น การกระทำใดไม่มีเจตนาไม่จัดว่าเป็นกรรม เป็นแต่เพียง กริยา เท่านั้น คือเป็นแค่การเคลื่อนไหวของร่างกาย ไม่มีผลทางจริยธรรม กรรมในทางพระพุทธศาสนา แบ่งตามเกณฑ์เกี่ยวกับการให้ผลของกรรมนั้น แบ่งได้เป็น 3 หมวด 12 ประเภท ดังนี้
7.1 ปากกาลกรรม : กรรมที่ให้ผลตามกาลเวลา มี 4 ประเภท คือ
7.1.1 ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม : กรรมที่ให้ผลทันทีทันใด หรือให้ผลในชาตินี้
7.1.2 อุปัชชเวทนียกรรม : กรรมที่ให้ผลในกาลข้างหน้า หรือให้ผลในชาติหน้า
7.1.3 อปราปรเวทนียกรรม : กรรมที่ให้ผลในระยะเวลานานข้างหน้า หรือให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป
7.1.4 อโหสิกรรม : กรรมที่ยกเลิก ไม่มีผลอีก หรือให้ผลเสร็จแล้ว
7.2 กิจกรรม : กรรมที่ให้ผลตามหน้าที่ที่ให้ผล มี 4 ประเภท คือ
7.2.1 ชนกกรรม : กรรมที่ชักนำให้ไปเกิดใหม่ เมื่อสิ้นชีวิตจากจากภพนี้
7.2.2 อุปัตถัมภกกรรม : กรรมที่เข้าสนับสนุนหรือซ้ำเติม ต่อจากชนกกรรม
7.2.3 อุปปีฬกกรรม : กรรมที่เข้ามาบรรเทาหรือหันเหทิศทาง ทำให้ไม่ดีเต็มที่หรือไม่ให้เลวเต็มที่
7.2.4 อุปฆาตกกรรม : กรรมตัดรอน ที่มีกำลังแรงเข้าไปตัดรอนการให้ผลของกรรมอื่น ๆ และให้ผลชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ
7.3 ปากทานปริยายกรรม : กรรมที่ให้ผลตามลำดับความรุนแรง มี 4 ประเภท คือ
7.3.1 ครุกรรม : กรรมหนัก จะให้ผลก่อนกรรมอื่น ๆ
7.3.2 พหุลกรรม หรือ อาจิณกรรม : กรรมที่ทำบ่อย ๆ จนเคยชิน ถ้าไม่มีชนกกรรม กรรมชนิดนี้จะให้ผลก่อน
7.3.3 อาสันนกรรม : กรรมที่ทำเมื่อใกล้ตาย ถ้าไม่มีกรรมสองข้อแรก กรรมชนิดนี้จะให้ผลก่อน
7.3.4 กตัตตากรรม : กรรมอ่อน ๆ หรือกรรมสักแต่ว่าทำ กรรมชนิดนี้จะให้ผลก็ต่อเมื่อไม่มีกรรมอื่นแล้ว
8. เป้าหมายชีวิตสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ พระนิพพาน (สภาวะดับทุกข์ ดับกิเลส)
เรื่องที่ 4 : ความสำคัญของพระพุทธศาสนา
1. พระพุทธศาสนามีทฤษฎีและวิธีการที่เป็นสากล คือมีหลักธรรมคำสั่งสอนที่เป็นความจริง เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า ถูกต้อง เป็นจริง พิสูจน์และเชื่อถือได้
2.มีหลักปฏิบัติที่ยึดทางสายกลาง ไม่เคร่งครัดจนเกินไปและไม่ย่อหย่อนจนเกินไป
3. เน้นฝึกฝนตนเองไม่ให้ประมาท
4. เน้นสอนว่าปัญหาต่าง ๆ ล้วนมีสาเหตุ มิได้เกิดขึ้นลอย ๆ
5. เน้นสอนให้มนุษย์แก้ปัญหาด้วยตนเอง
6. มุ่งแสวงหาประโยชน์สุขแก่ตนเอง แก่สังคม และแก่โลก
7. เน้นให้มนุษย์ฝึกฝนตนเองเพื่อมุ่งสู่อิสรภาพ
สรุปย่อหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 : ศาสนาสำคัญในสังคมไทย
ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู

1. ประเภทพหุเทวนิยม นับถือพระเจ้าหลายองค์ เช่น พระศิวะ พระวิษณุ พระพรหม พระอุมา พระลักษมี พระสุรัสวดี พระพิฆเณศร พระรามจันทร์ พระกฤษณะ พระอินทร์ พระอัคนี พระคงคา และอีกมากมาย
2. พระเจ้า : มีสูงสุด 3 พระองค์ (ตรีมูรติ) คือ พระศิวะ พระวิษณุ พระพรหม
3. ศาสดา : ไม่มี
4. คัมภีร์ : คัมภีร์พระเวท แบ่งเป็น 4 เล่ม คือ ฤคเวท ยชุรเวท ไตรเวท อาถรรพเวท
5. นิกาย : มี 3 นิกายสำคัญ คือ
5.1 นิกายไศวะ : นับถือพระศิวะ(พระอิศวร) เป็นพระเจ้าสูงสุดในตรีมูรติ และนิยมบูชาศิวลึงค์เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะ
5.2 นิกายไวษณพ : นับถือพระวิษณุ(พระนารายณ์) เป็นพระเจ้าสูงสุดในตรีมูรติ และนิยมบูชาองค์อวตารปางต่าง ๆ ของ พระวิษณุ ที่อวตารลงมาปราบอสูร เช่น พระรามจันทร์ พระกฤษณะ พระกัลกี เป็นต้น
5.3 นิกายศักติ : นับถือพระชายาของพระเจ้าองค์ต่าง ๆ ว่าทรงไว้ซึ่งศักติ(พลังหรืออำนาจ)แห่ง พระสวามี และมนุษย์สามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่า ขอพรได้ง่ายกว่าศักติหรือพระชายาพระเจ้าที่เป็นที่นับถือ เช่น
- พระอุมา ชายาของพระศิวะ ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ สามารถอวตารเป็น พระนางทุรคา พระนางกาลี
เพื่อไป ปราบอสูร
- พระลักษมี ชายาของพระวิษณุ (ได้รับยกย่องว่าเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ)
- พระสุรัสวดี ชายาของพระพรหม (ได้รับยกย่องว่าเป็นเทพเจ้าแห่งอักษรศาสตร์
และศิลปวิทยาการต่าง ๆ เพราะเป็นผู้ประดิษฐ์ตัวอักษรเทวนาครี)
* ปัจจุบันในประเทศอินเดีย ไม่นิยมบูชาพระพรหม จึงไม่มีนิกายพรหม *
6. หลักธรรมสำคัญ :
6.1 หลักปรมาตมัน - อาตมัน และ โมกษะ ถือเป็นหลักธรรมชั้นสูงของศาสนาพราหมณ์ฮินดู
1. ปรมาตมัน คือ วิญญาณสูงสุดหรือพระเจ้าสูงสุด ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของชีวิตทั้งหลาย
2. อาตมัน คือ วิญญาณย่อย อันเป็นอมตะไม่มีวันแตกดับ อยู่ในร่างกายมนุษย์ทั้งหลาย เวลามนุษย์ ตายจะตายแต่เพียงร่างกาย แต่อาตมัน จะเป็นอมตะไม่มีวันแตกดับ ซึ่งอาตมันจะต้องเวียนว่าย ตายเกิดไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะบรรลุโมกษะ
3. โมกษะ คือ สภาวะแห่งการหลุดพ้น อาตมันของมนุษย์แต่ละคน จะได้กลับไปรวมกับปรมาตมัน และไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกเลย
6.2 หลักตรีมูรติ : พระเจ้าสูงสุดมี 3 พระองค์ และต่างทำหน้าที่ต่อโลกต่างกันไป คือ
1. พระพรหม หน้าที่สร้างโลกสร้างมนุษย์ ชาวฮินดูเชื่อว่าเมื่อพระพรหมสร้างโลกแล้วจะนอนหลับ พักผ่อนชั่วกัปชั่วกัลป์ ชั่วอายุขัยของโลก และจะตื่นขึ้นมาใหม่เพื่อสร้างโลกสร้างมนุษย์ เมื่อโลกและ มนุษย์หมดอายุขัยถูกทำลายล้างแล้ว (ทำให้ชาวฮินดูในประเทศอินเดียไม่นิยมบูชาพระพรหม แต่จะ นิยมบูชาพระศิวะและพระวิษณุมากกว่า)
2. พระศิวะ (พระอิศวร) หน้าที่ทำลายโลก ด้วย “ตรีเนตร” ดวงตาที่สามของพระศิวะ ซึ่งสถิตอยู่กลาง หน้าผากของพระศิวะ
3. พระวิษณุ (พระนารายณ์) หน้าที่คุ้มครองโลก ด้วยการอวตารลงมาปราบยักษ์ปราบมาร
6.3 หลักอาศรม ๔ : วัยแห่งชีวิต 4 วัย ซึ่งแต่ละวัยจะมีหน้าที่เฉพาะของวัยตนเอง
1. พรหมจารี : วัยเด็ก หน้าที่คือ เรียนหนังสือหาความรู้ และศึกษาเล่าเรียนคัมภีร์พระเวท เพื่อจะได้นำความรู้ไปใช้ทำงานหาเลี้ยงตนเองและครอบครัวต่อไป
2. คฤหัสถ์ : วัยผู้ใหญ่ หน้าที่คือ ครองเรือน แต่งงานมีครอบครัวสืบทอดวงศ์ตระกูล และทำงานหาเลี้ยงครอบครัวให้สมบูรณ์
3. วานปรัสถ์ : วัยกลางคน หน้าที่คือ ทำงานช่วยเหลือสังคมช่วยเหลือผู้อื่นในสังคม และหมั่น ปฏิบัติธรรมให้มากขึ้น เพื่อเตรียมเข้าสู่อาศรมสุดท้ายของชีวิต
4. สันยาสี : วัยชรา หน้าที่คือ ออกบวชสละชีวิตทางโลก ไปอยู่ตามป่าตามเขา บำเพ็ญตบะ โยคะ เพื่อแสวงหาโมกษะ
6.4 หลักวรรณะ ๔ : มนุษย์มี 4 ชนชั้นเพราะเกิดจากพระพรหมสร้างขึ้นมาจากอวัยวะของพระพรหมที่ แตกต่างกัน ดังนั้นจึงมีอาชีพที่ต่างกัน
1. วรรณะพราหมณ์ เกิดจาก ปาก ของพระพรหม , อาชีพคือ เป็นนักบวชท่องบ่นสวดมนต์คัมภีร์พระเวทและเป็นครูอาจารย์สั่งสอนคัมภีร์แก่วรรณะอื่น ๆ
2. วรรณะกษัตริย์ เกิดจาก มือ ของพระพรหม , อาชีพคือ เป็นนักรบนักปกครอง คอยคุ้มครองคนดีและปราบปรามคนชั่ว
3. วรรณะไวศยะ(แพศย์) เกิดจาก หน้าท้อง ของพระพรหม , อาชีพคือ เป็นพ่อค้าวานิชและเกษตรกร ชาวไร่ชาวนา
4. วรรณะศูทร เกิดจาก เท้า ของพระพรหม , อาชีพคือ เป็นกรรมกรผู้ใช้แรงงาน คอยทำงานรับใช้วรรณะทั้ง 3
* จัณฑาล คือ คนที่ไม่มีวรรณะ ต่ำต้อยและเป็นที่รังเกียจที่สุดในสังคมฮินดู
เกิดจากพ่อแม่ที่แต่งงานข้ามวรรณะ โดยเฉพาะแม่เป็นวรรณะพราหมณ์ พ่อเป็นวรรณะศูทร *
7. เป้าหมายชีวิตของศาสนาฮินดู : โมกษะ
สรุปย่อศาสนาคริสต์
1. ประเภทเอกเทวนิยม นับถือพระเจ้าองค์เดียว
2. พระเจ้า : พระยะโฮวา (และนับถือรวมไปถึงพระเยซูคริสต์ว่าเป็นภาคหนึ่งของพระเจ้าด้วย)
3. ศาสดา : พระเยซูคริสต์ * เป็นทั้งศาสดาและภาคหนึ่งของพระเจ้า *
4. คัมภีร์ : คัมภีร์ไบเบิล ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ภาค คือ
1) ภาคพันธสัญญาเดิม เป็นคัมภีร์สำคัญของศาสนายูดาย(หรือศาสนายิว)ด้วย ว่าด้วยเรื่องพระเจ้า สร้างโลกและสร้างมนุษย์คู่แรก(อาดัมและเอวา) เรื่องโนอาต่อเรือหนีน้ำท่วมโลก เรื่องโมเสสนำชาวยิวอพยพออกจากอียิปต์
2) ภาคพันธสัญญาใหม่ เป็นคำสอนของพระเยซู โดยเฉพาะ ว่าด้วยเรื่องความรักของพระเจ้าต่อมนุษย์ และสอนให้มนุษย์รักซึ่งกันและกัน ให้อภัยต่อกันและกัน
5. นิกาย : มี 3 นิกายสำคัญ
5.1 นิกายโรมันคาธอลิค (คนไทยเรียก "คริสตัง")
1. นับถือพระสันตะปาปา(Pope) เป็นประมุขของคริสตจักร และมีนักบวช (เช่น บาทหลวง บราเดอร์ ซิสเตอร์)
2. เน้นบูชาสวดมนต์ต่อแม่พระมารีอา และต่อบรรดานักบุญ(Saint) ทั้งหลาย
3. มีพิธีกรรมหรูหราหลายขั้นตอน โบสถ์ตกแต่งสวยงามหรูหรา และยอมรับปฏิบัติตามศีล 7 ประเภท (คือ ศีลล้างบาป , ศีลกำลัง , ศีลแก้บาป , ศีลมหาสนิท ,ศีลสมรส , ศีลเจิมคนป่วย และศีลบวชเป็นบาทหลวง)
4. ไม้กางเขนมีองค์พระเยซูตรึงอยู่กลางไม้กางเขน
5. แพร่หลายในยุโรปใต้ เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน โปรตุเกส และในทวีปอเมริกาใต้ เช่น บราซิล อาร์เจนตินา
5.2 นิกายโปรแตสแตนท์ (คนไทยเรียก "คริสเตียน")
1. ไม่มีนักบวช (มีแต่ ศาสนจารย์) และไม่นับถือพระสันตะปาปา(Pope) เป็นประมุข 2. ไม่บูชานับถือแม่พระมารีอา ไม่นับถือนักบุญ(Saint)
* บูชานับถือเฉพาะแต่พระเยซูคริสต์เท่านั้น *
3. เน้นพิธีกรรมที่เรียบง่าย โบสถ์ตกแต่งเรียบง่าย และยอมรับปฏิบัติตามศีลเพียงแค่ 2 ประเภท เท่านั้น คือ 1. ศีลล้างบาป(หรือศีลจุ่ม) และ 2. ศีลมหาสนิท(พิธีกินขนมปังและดื่มไวน์)
4. ไม้กางเขนไม่มีองค์พระเยซูตรึงอยู่กลางไม้กางเขน เป็นไม้กางเขนเปล่า ๆ
5. แพร่หลายในยุโรปตะวันตกและยุโรปเหนือ เช่น เยอรมนี อังกฤษ เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
5.3 นิกายออร์โธดอกซ์
1. มีนักบวช แต่ไม่นับถือพระสันตะปาปา(Pope) เป็นประมุข (ในแต่ละประเทศจะมีพระสังฆราช ที่เรียกว่า “Pratriach” เป็นประมุขประเทศใครประเทศมัน)
2. เน้นบูชานับถือแม่พระมารีอาและนักบุญทั้งหลาย
3. มีพิธีกรรมหรูหรา หลายขั้นตอน
4. แพร่หลายในยุโรปตะวันออก เช่น รัสเซีย กรีก โรมาเนีย (ไม่แพร่หลายในไทย)
6. หลักธรรมสำคัญ :
6.1 หลักความรัก * หัวใจแห่งศาสนาคริสต์ * มี 2 ระดับ คือ
1.ระดับสูง : ความรักระหว่างพระเจ้าต่อมนุษย์ (พระเจ้าทรงรักมนุษย์มาก)
2.ระดับล่าง : ความรักระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ด้วยกันเอง มนุษย์ต้องรักกันเพราะเป็นพี่น้องกันทั้งโลก (เพราะมนุษย์เกิดจากบรรพบุรุษร่วมกันคือ อาดัมและเอวา)
6.2 หลักตรีเอกานุภาพ(Trinity) เชื่อว่าพระเจ้าสูงสุดมีเพียงองค์เดียว แต่ได้ทรงแบ่งภาคออกเป็น 3 ภาค คือ
1. พระบิดา คือ พระยะโฮวา ซึ่งเป็นพระผู้สถิตอยู่ในสรวงสวรรค์ เป็นผู้สร้างโลก สร้างมนุษย์ขึ้นมา
2. พระบุตร คือ พระเยซูคริสต์ ซึ่งเสด็จลงมาเกิดในโลกมนุษย์ เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์
3. พระจิต(พระวิญญาณบริสุทธิ์) คือ ภาคของพระเจ้าซึ่งสถิตอยู่ในทุกที่ ทรงล่วงรู้ความเป็นไปทุกอย่างของมนุษย์
6.3 หลักอาณาจักรพระเจ้า มี 2 ระดับ
1. ระดับโลกนี้ ซึ่งมนุษย์สามารถเข้าถึงได้ในชาตินี้ คือ โบสถ์หรือคริสตจักร นั่นเอง
2. ระดับโลกหน้า ซึ่งมนุษย์จะเข้าถึงได้ในโลกหลังความตาย คือ สวรรค์ของพระเจ้า ที่ซี่งมนุษย์จะมี ชีวิตเป็นนิรันดร มีแต่ความสุข และไม่ต้องตายอีกเลย
* ศาสนาคริสต์ไม่เชื่อเรื่องการเวียนตายเกิด ไม่มีชาติที่แล้ว ไม่มีชาติหน้า มนุษย์เกิดหนเดียวตายหนเดียว *
6.4 หลักบาปกำเนิด
1. มนุษย์มีบาปกำเนิดติดตัว บาปนี้สืบทอดมาจากบรรพบุรุษคู่แรกของมนุษย์คือ อาดัมและเอวา ที่ได้ทำบาปครั้งแรกเอาไว้ คือเด็ดผลไม้แห่งความรู้สำนึกดีชั่วของพระเจ้ามากิน
2. ชาวคริสต์ทุกคนทุกนิกาย จึงต้องรับศีลล้างบาป(ศีลจุ่ม) เพื่อล้างบาปกำเนิด เป็นศีลแรกของชีวิต
7. เป้าหมายชีวิตของศาสนาคริสต์ : อาณาจักรพระเจ้า , การได้มีชีวิตนิรันดรอยู่ในอาณาจักรพระเจ้า
สรุปย่อศาสนาอิสลาม
1. ประเภทเอกเทวนิยม นับถือพระเจ้าองค์เดียว
* ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่ไม่มีนักบวช และไม่มีรูปเคารพ ไม่มีเครื่องรางของขลังใดใด *
2. พระเจ้า : พระอัลลอฮ
3. ศาสดา : นบีมูฮัมหมัด
4. คัมภีร์ : คัมภีร์อัลกุรอาน
5. นิกาย : มี 3 นิกายสำคัญ
5.1 นิกายซุนนี
1. ยึดมั่นและปฏิบัติตามจารีตการดำเนินชีวิต (ซุนนะ) ของนบีมูฮัมหมัดอย่างเคร่งครัด
2. ยอมรับผู้นำศาสนาว่ามีแค่ 4 คน หลังจากนบีมูฮัมหมัดสิ้นพระชนม์ (คือ 1. ท่านอบูบักร 2. ท่านอุมัร 3. ท่านอุสมาน และ 4. ท่านอาลี)
3. แพร่หลายมากที่สุด มุสลิมส่วนใหญ่ทั่วโลกนับถือนิกายนี้ (รวมถึงมุสลิมในไทยส่วนใหญ่ ก็นับถือ นิกายนี้ด้วย)
5.2 นิกายชีอะห์
1. นับถือท่านอาลีและลูกหลานของท่านอาลี ว่าเป็นผู้นำศาสนาที่ถูกต้อง (เพราะท่านอาลีเป็นทั้งบุตรบุญธรรมและบุตรเขยของนบีมูฮัมหมัด)
2. แพร่หลายใน อิหร่าน อิรัก เยเมน เป็นต้น
5.3 นิกายวาฮาบีย์
1. เป็นนิกายใหม่ล่าสุดในศาสนาอิสลาม
2. เน้นความสำคัญและความศักดิ์สิทธิ์ของคัมภีร์อัลกุรอาน มาก ๆ คือ ห้ามตีความและห้ามแก้ไข คัมภีร์อัลกุรอาน
3. แพร่หลายใน ซาอุดีอาระเบีย คูเวต เป็นต้น
6. หลักธรรมสำคัญ :
6.1 หลักศรัทธา ๖ ประการ มุสลิมต้องศรัทธาใน 6 สิ่งนี้ว่ามีจริง
1. ศรัทธาใน พระอัลลอฮ ว่ามีจริง และทรงเป็นพระเจ้าสูงสุดแต่เพียงองค์เดียว
2. ศรัทธาใน ศาสดา(นบีหรือรอซูล) ทั้งหลาย ซึ่งมีหลายท่าน เช่น นบีอาดัม นบีอิบรอฮีม(อับบราฮัม) นบีมูซา(โมเสส) นบีอีซา(พระเยซู) และนบีมูฮัมหมัด ซึ่งเป็นนบีคนสุดท้าย
3. ศรัทธาใน คัมภีร์ ทั้งหลาย ซึ่งมีหลายเล่ม เช่น พระคัมภีร์เดิมของศาสนายูดาย พระคัมภีร์ไบเบิล ของศาสนาคริสต์ และพระคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งเป็นคัมภีร์สุดท้ายที่พระอัลลอฮ ประทานให้มนุษย์
4. ศรัทธาใน เทวฑูต(มลาอีกะห์) ซึ่งเป็นเทพบริวารของพระอัลลอฮ
5. ศรัทธาใน วันพิพากษาโลก(วันกียามะห์) ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของโลกและมนุษย์ ที่พระอัลลอฮ
จะทรงพิพากษาการกระทำของมนุษย์ทั้งหลาย
6. ศรัทธาใน กฎสภาวะแห่งพระอัลลอฮ ซึ่งได้ทรงกำหนดไว้ให้มนุษย์ยอมรับกฎเหล่านี้ เช่น กฎธรรมชาติที่โลกจะต้องมีฤดูกาลต่าง ๆ หรือกฎแห่งกรรม ถ้าทำดี พระอัลลอฮ จะทรงอวยพรให้ แต่ถ้าทำชั่วพระอัลลอฮ จะทรงลงโทษ
6.2 หลักปฏิบัติ ๕ ประการ มุสลิมต้องปฏิบัติใน 5 สิ่งนี้ อย่างเคร่งครัด คือ
1. การปฏิญาณตน มุสลิมจะต้องปฏิญาณตนว่ามีพระอัลลอฮ เป็นพระเจ้าสูงสุดแต่เพียงองค์เดียว
2. การละหมาด คือการนมัสการและแสดงความนอบน้อมต่อพระอัลลอฮ ซึ่งมุสลิมที่เคร่งครัดและ มี เวลาจะละหมาดวันละ 5 ครั้ง
3. การถือศีลอด ในเดือนศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิมทั่วโลก คือเดือนรอมฎอน โดยมุสลิมจะอดอาหารและน้ำในเวลาพระอาทิตย์ขึ้นยันพระอาทิตย์ตกดิน เพื่อฝึกให้รู้จักรสชาดความอดอยากหิวโหย และจะได้ช่วยเหลือคนยากจน
4. การบริจาคซะกาต เพื่อให้คนรวยได้ช่วยเหลือคนยากจน
5. การประกอบพิธีฮัจญ์ ณ นครเมกกะ ประเทศซาอุดิอารเบีย หลักปฏิบัตินี้เป็นหลักปฏิบัติที่เคร่งครัดน้อยที่สุด เพราะไม่ต้องทำทุกคน ให้ทำได้เฉพาะมุสลิมที่มีความพร้อมเท่านั้น
* ศาสนาอิสลามไม่เชื่อเรื่องการเวียนตายเกิด ไม่มีชาติที่แล้ว ไม่มีชาติหน้ามนุษย์เกิดหนเดียวตายหนเดียว *
7. เป้าหมายชีวิตของศาสนาอิสลาม : การเข้าถึงพระอัลลอฮ

ผู้ติดตาม